Tag: การมีเพศสัมพันธ์

  • ถุงยางอนามัยแตกไม่ใช่เรื่องเล็ก! วิธีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย

    ถุงยางอนามัยแตกไม่ใช่เรื่องเล็ก! วิธีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย

    หลายคนอาจมองว่าเหตุการณ์ ถุงยางอนามัยแตก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยบังเอิญและไม่ควรต้องกังวลมาก แต่ในความจริงแล้ว มันอาจเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญต่อสุขภาพทางเพศ เพราะถุงยางอนามัย เป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันทั้ง การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) เช่น เอชไอวี หนองใน ซิฟิลิส เริม และอื่น ๆ

    เมื่อถุงยางอนามัยแตก ความเสี่ยงเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นทันที ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่การทำเป็นลืม แต่คือการ รู้วิธีรับมืออย่างถูกต้องและปลอดภัย

    ถุงยางอนามัยแตกไม่ใช่เรื่องเล็ก! วิธีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย

    ถุงยางอนามัย คืออะไร?

    ถุงยางอนามัย (Condom) คือ อุปกรณ์กั้น (barrier) ทางการแพทย์สำหรับป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยทำหน้าที่ ป้องกันไม่ให้มีการสัมผัส/แลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ เช่น น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด และเลือด

    • วัสดุที่ใช้บ่อย
      • ลาเท็กซ์ (latex): ยืดหยุ่นดี ราคาย่อมเยา แต่ห้ามใช้ร่วมกับน้ำมัน/โลชั่น เพราะทำให้ยางเสื่อม
      • โพลียูรีเทน (polyurethane) และ โพลีไอโซพรีน (polyisoprene): เหมาะสำหรับผู้แพ้ลาเท็กซ์ ใช้กับสารหล่อลื่นได้หลากหลายกว่า
    • ชนิด
      • ถุงยางอนามัยสวมอวัยวะเพศชาย (external condom): ใช้แพร่หลายที่สุด
      • ถุงยางอนามัยสตรี/ถุงยางอนามัยสอดช่องคลอด (internal condom): วัสดุทนทาน ลดการเสียดสี แต่ต้องเรียนรู้วิธีใช้
    • หลักการทำงาน
      • มี ปลายกระเปาะ สำหรับรองรับน้ำอสุจิ ลดแรงดันในถุง
      • ทำหน้าที่เป็น ชั้นกั้นทางกายภาพ ลดโอกาสที่เชื้อโรคจะผ่านผิวเยื่อเมือก
    • ประสิทธิภาพ
      • หากใช้ถูกต้องทุกครั้งตั้งแต่เริ่มจนจบกิจกรรม จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ
    • มาตรฐานคุณภาพ
      • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน (เช่น อย., ISO 4074 หรือมาตรฐานสากลอื่น) วันหมดอายุและสภาพซองต้องสมบูรณ์

    เคล็ดลับสั้น ๆ: ใช้ สารหล่อลื่นสูตรน้ำหรือซิลิโคน กับถุงยางอนามัยลาเท็กซ์, ใส่ถุงยางอนามัยตั้งแต่ ก่อนเริ่มสอดใส่, และทิ้งทันทีหลังใช้—ห้ามใช้ซ้ำ

    ทำไมถุงยางอนามัยถึงแตก?

    แม้ถุงยางอนามัยจะถูกทดสอบความทนทาน แต่ก็อาจ ฉีก/แตก/หลุด ได้หากใช้งานหรือเก็บรักษาไม่ถูกต้อง สาเหตุสำคัญแบ่งได้ดังนี้

    • การใช้ผิดวิธี
      • ไม่บีบไล่อากาศที่ปลายถุงก่อนใส่ → อากาศค้างทำให้เกิดแรงดันสะสม เมื่อมีการเสียดสีหรือหลั่ง อาจ แตก/ปริ ได้
      • ใส่กลับด้าน แล้วพยายามรูดกลับ → เนื้อยางตึงตัวผิดทิศ เกิดแรงดึงมากกว่าปกติ เสี่ยงฉีกขาด
      • ใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ → ยางสูญเสียความยืดหยุ่น ความทนทานลดลงอย่างมาก
      • ฉีกซองด้วยของมีคม/ฟัน/เล็บ → เกิด ไมโครรอยฉีก ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ทำให้แตกระหว่างใช้งาน
      • ใส่ไม่สุดโคน/ไม่พอเหมาะกับโคนอวัยวะเพศ → เกิดการเสียดสีบริเวณขอบจนฉีก หรือทำให้ หลุด ได้
      • ใส่สองชั้น (double-bagging) → ยางเสียดสีกันเอง เพิ่มความร้อนและแรงเสียดทาน เสี่ยงแตกมากขึ้น
    • คุณภาพถุงยางอนามัย
      • หมดอายุ หรือเก็บในที่ร้อนจัด/แสงแดด (เช่น ในรถ/ในกระเป๋าสตางค์ที่กดยับนาน ๆ) → ยาง เสื่อมสภาพ แห้ง กรอบ แตกง่าย
      • สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน → ความหนา/ความทนทานสม่ำเสมอไม่ดี เพิ่มโอกาสรั่ว/แตก
      • ซองชำรุด/มีรอยฉีก → อากาศและความชื้นทำให้ยางเสียสภาพ
    • การเสียดสีรุนแรง
      • กิจกรรมยาวนานโดยไม่ใช้สารหล่อลื่น → ความร้อนและแรงเสียดสีสูง ทำให้ยาง บาง/ยืดเกินลิมิต
      • ใช้น้ำมัน/โลชั่น/วาสลีน กับ ถุงยางอนามัยลาเท็กซ์ → น้ำมันทำให้โครงสร้างยาง พอง-เปราะ จนขาดง่าย (ควรใช้ เจลหล่อลื่นสูตรน้ำหรือซิลิโคน เท่านั้น)
      • ท่าทางหรือจังหวะที่แรงมาก โดยไม่มีลูบ (lube) รองรับ → เพิ่มโอกาสขาด
    • ขนาดไม่พอดี
      • เล็กเกินไป → ยางตึงมากกว่าที่ควร เกิดแรงดึงสูง เสี่ยงแตก
      • ใหญ่เกินไป → หลุดง่าย และอาจฉีกจากการรูด/ขยับ
      • ปลายไม่เหลือที่ว่าง → ไม่มีที่รองรับน้ำอสุจิ เกิดแรงดันภายในจนปริ

    แนวกันพลาด: ตรวจวันหมดอายุ–สภาพซอง, เลือก ขนาดพอดี (nominal width), บีบไล่อากาศปลายถุง, ใช้ ลูบสูตรน้ำ/ซิลิโคน และอย่าเก็บในที่ร้อน/อัดทับ

    ถุงยางอนามัยแตกกับความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

    เมื่อถุงยางอนามัยแตก/รั่ว โอกาสสัมผัสของเหลวและเยื่อเมือกโดยตรงจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้ง การตั้งครรภ์ และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงผลกระทบทางจิตใจ

    • การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
      • หากมีการหลั่งภายในและถุงยางอนามัยแตก อสุจิสามารถเข้าสู่ช่องคลอดได้โดยตรง ความเสี่ยงตั้งครรภ์จึง เพิ่มขึ้นทันที
      • ความเสี่ยงจะ สูงขึ้น หากตรงกับช่วง ตกไข่ ของรอบเดือน
      • ตัวเลือกหลังเหตุการณ์ (ไม่ใช่คำสั่งแพทย์ แต่เป็นข้อมูลทั่วไป): ยาคุมฉุกเฉิน มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้ ภายใน 72 ชั่วโมง หลังเสี่ยง และควรรับคำแนะนำจากเภสัชกร/แพทย์
    • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      • เอชไอวี (HIV): หากคู่นอนมีเชื้อ การแตก/รั่วของถุงยางอนามัยทำให้ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทันที
        • ทางเลือกหลังสัมผัสความเสี่ยง: PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสฉุกเฉิน ควรเริ่ม ภายใน 72 ชั่วโมง และกินต่อครบกำหนด (โดยแพทย์สั่ง)
      • ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม (chlamydia): สัมผัสครั้งเดียวก็มีโอกาสติด โดยเฉพาะเมื่อมีการหลั่ง/มีแผล
      • เริมอวัยวะเพศ (HSV), HPV, ไวรัสตับอักเสบบี: ติดต่อได้ผ่าน ของเหลวหรือผิวสัมผัสโดยตรง แม้ไม่มีอาการชัดเจน
      • การประเมินและ ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตามช่วงเวลาเหมาะสม (บางเชื้อมีช่วงแฝง ก่อนตรวจเจอ) เป็นสิ่งจำเป็น
    • ภาระทางจิตใจ
      • ความกังวลหลังถุงยางอนามัยแตกอาจนำไปสู่ ความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ หรือรู้สึกผิด
      • ความเครียดสูงอาจส่งผลต่อ ความสัมพันธ์/การงาน/การตัดสินใจทางสุขภาพ (เช่น เลี่ยงการตรวจ/เลี่ยงพบแพทย์)
      • การขอคำปรึกษา (counseling) และรับข้อมูลที่ถูกต้อง จะช่วยลดความกังวลและพาคุณเข้าสู่แนวทางดูแลที่ปลอดภัย
    วิธีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยเมื่อถุงยางอนามัยแตก

    วิธีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยเมื่อถุงยางอนามัยแตก

    • หยุดกิจกรรมทันที
      • หยุดทันทีที่สังเกตว่าถุงยางอนามัยแตก/รั่ว/หลุด เพื่อป้องกันการรั่วไหลเพิ่มเติมของอสุจิหรือสารคัดหลั่ง
      • ถอนอวัยวะเพศขณะยังแข็งตัว จับที่โคนถุงยางอนามัยไว้เพื่อไม่ให้หลุดคาช่องคลอด/ทวารหนัก
    • ล้างทำความสะอาด (อย่างถูกวิธี)
      • ล้างอวัยวะเพศด้วย น้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง อย่างเบามือ
      • ห้ามสวนล้างแรง ๆ (ทั้งช่องคลอด/ทวารหนัก/ท่อปัสสาวะ) และ ห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ/สบู่แรง ๆ เพราะอาจระคายเยื่อบุ ทำให้เชื้อซึมผ่านง่ายขึ้น
      • ช่องปาก: กลั้วด้วยน้ำสะอาด ไม่แปรงฟันทันที (การถูแรง ๆ เพิ่มการระคาย)
    • ประเมินความเสี่ยงแบบรวดเร็ว
      • ถามตัวเอง/คู่ว่า:
        • สถานะเอชไอวีของคู่: ทราบหรือไม่? มีกินยากดเชื้อจนตรวจไม่พบ (U=U) หรือเปล่า?
        • มีการหลั่งในหรือไม่ และตำแหน่งสัมผัสคือ ช่องคลอด/ทวารหนัก/ช่องปาก (ความเสี่ยงต่างกัน; ทวารหนักมักเสี่ยงสูงกว่า)
        • มีแผล/เลือดออก/การอักเสบในบริเวณที่สัมผัสหรือไม่ (เพิ่มความเสี่ยง)
        • ตนเอง ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีครบหรือยัง (ถ้ายัง อาจต้องรับวัคซีน)
      • ถ้าตอบว่าไม่แน่ใจ/เสี่ยงสูง ให้ข้ามไปข้อต่อไปโดยเร็ว
    • ใช้ยาคุมฉุกเฉิน (สำหรับผู้ที่สามารถตั้งครรภ์ได้)
      • เริ่มเร็วที่สุด ภายใน 72 ชั่วโมง (ยิ่งเร็ว ยิ่งได้ผล)
        • ทางเลือกทั่วไป: เลโวนอร์เจสเตรล (ภายใน 72 ชม.) หรือ ยูลิพริสตัลอะซิเตต (มีประสิทธิภาพได้ถึง 120 ชม. / 5 วัน)
        • หากพร้อมและเข้าถึงได้: ห่วงอนามัยทองแดง (Copper IUD) ภายใน 5 วัน หลังเสี่ยง เป็นวิธีฉุกเฉินที่ป้องกันตั้งครรภ์ได้สูงสุด และยังคุมกำเนิดต่อเนื่อง
      • ทำ ตรวจการตั้งครรภ์ หากประจำเดือน ช้ากว่ากำหนด ≥ 1 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์หลังเหตุการณ์ แม้ไม่มีอาการ
    • ปรึกษาแพทย์เรื่อง PEP (Post-Exposure Prophylaxis) สำหรับเอชไอวี
      • PEP คือยาต้านไวรัสฉุกเฉิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงเอชไอวีได้อย่างมาก เมื่อเริ่มเร็ว
      • กรอบเวลาสำคัญ: เริ่มให้ได้ดีที่สุด ภายใน 2 ชั่วโมง และ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังเหตุการณ์ จากนั้นกิน ต่อเนื่อง 28 วัน ตามแพทย์สั่ง
      • ระหว่างใช้ PEP:
        • กินให้ตรงเวลา ทุกวัน ห้ามขาดยา
        • หลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์เสี่ยงสูง หรือใช้ถุงยางอนามัย/อุปกรณ์กั้นทุกครั้ง
        • นัดติดตามผลเลือดตามกำหนด
    • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามช่วงเวลา
      • ทำ Baseline (ครั้งแรก) ให้เร็ว จากนั้น ตรวจซ้ำ ตามหน้าต่างตรวจพบ ของแต่ละโรค:
      • เอชไอวี: ทันที (ก่อนเริ่ม PEP), 4–6 สัปดาห์, และ 3 เดือน หลังสัมผัส
      • หนองใน/หนองในเทียม (Chlamydia/Gonorrhea): ตรวจ NAAT ที่ 1–2 สัปดาห์ และซ้ำตามแพทย์แนะนำ (รวมทั้งตำแหน่งที่เสี่ยง: คอ/ทวารหนัก)
      • ซิฟิลิส (RPR/TPHA): 6 สัปดาห์ และ 3 เดือน
      • ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: ตรวจภูมิคุ้มกัน/เชื้อ ตามดุลยพินิจแพทย์
      • วัคซีน: หากยังไม่ครบ HBV/HPV ปรึกษาฉีดให้เหมาะสม
    • ดูแลใจตัวเองและคู่
      • ความกังวลหลังเหตุการณ์เป็นเรื่องปกติ: ใช้การหายใจช้า ๆ, คุยกับคู่/คนที่ไว้ใจ, หรือขอคำปรึกษาทางเพศ/สุขภาพจิต
      • หลีกเลี่ยงการตำหนิตัวเอง โฟกัสที่แผนปฏิบัติ และนัดติดตามตามไทม์ไลน์
      • สัญญาณฉุกเฉิน: มีอาการเจ็บท้องรุนแรง เลือดออกผิดปกติ มีไข้สูง หนาวสั่น มีผื่น/หายใจติดขัดหลังเริ่มยา PEP/ยาคุมฉุกเฉิน → ไปพบแพทย์ทันที

    วิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางอนามัยแตก

    • เลือกและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง
      • เลือกแบรนด์/รุ่นที่ได้มาตรฐาน (เช่น ผ่าน อย./ISO 4074)
      • ขนาดพอดี: ดูค่า nominal width ที่เหมาะกับรอบวงอวัยวะเพศ (เล็กไป = ตึงและแตกง่าย / ใหญ่ไป = หลุดง่าย)
      • ตรวจวันหมดอายุและสภาพซอง ก่อนใช้ทุกครั้ง
      • เก็บในที่เย็น แห้ง พ้นแดด/ความร้อน (หลีกเลี่ยงพกในกระเป๋าสตางค์นาน ๆ/ในรถ)
    • ขั้นตอนการใส่ที่ถูกต้อง (ทีละข้อ)
      • เปิดซองด้วยมือ (ไม่ใช้ฟัน/ของมีคม)
      • ตรวจทิศทางให้แน่ใจว่า ขอบกลิ้งออกได้
      • บีบปลายกระเปาะ ไล่อากาศ—เหลือที่ว่างสำหรับรองรับอสุจิ
      • สวมตั้งแต่ก่อนเริ่มสอดใส่ แล้ว รูดลงจนสุดโคน
      • เติม เจลหล่อลื่นสูตรน้ำหรือซิลิโคน บริเวณด้านนอก (โดยเฉพาะเมื่อกิจกรรมนาน/เสียดสีสูง)
      • หลังหลั่ง จับฐานถุงยางอนามัย ขณะถอนออกตอนยังแข็งตัว → มัดปากถุง/ทิ้งในถังขยะ (ไม่ชักโครก)
    • ข้อห้ามที่พบบ่อย
      • ห้ามใช้ซ้ำ เด็ดขาด
      • ห้ามใส่สองชั้น (Double-bagging) ถุงยางอนามัยจะเสียดสีกันเองจนขาดง่าย
      • ห้ามใช้น้ำมัน/วาสลีน/โลชั่น กับ ถุงยางอนามัยลาเท็กซ์ (ทำให้ยางเปราะแตก)
      • ห้ามสวนล้างแรง ๆ ก่อนหรือหลัง เพราะทำลายเยื่อบุ
    • เสริมความปลอดภัยระยะยาว
      • พิจารณา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ถ้ามีความเสี่ยงต่อเอชไอวีซ้ำ ๆ
      • รับ วัคซีน HBV/HPV ให้ครบ
      • ตรวจสุขภาพทางเพศ สม่ำเสมอ หากมีคู่นอนหลายคน/ความเสี่ยงสูง
      • เรียนรู้การใช้ ถุงยางอนามัยภายใน (internal condom) หรือ dental dam สำหรับออรัล/เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพื่อเพิ่มทางเลือกในการกั้นเชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ถุงยางอนามัยแตก ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเสี่ยงทั้งการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้อง เช่น การใช้ ยาคุมฉุกเฉิน การเข้าถึง PEP การตรวจโรคทางเพศ จะช่วยให้คุณปลอดภัยมากขึ้น

    การดูแลสุขภาพทางเพศคือความรับผิดชอบต่อทั้งตัวเองและคู่ของคุณ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เลือกขนาดที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและมั่นใจ

    เอกสารอ้างอิง

    • World Health Organization (WHO). Condom use and HIV prevention factsheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/condoms
    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Emergency PEP (Post-Exposure Prophylaxis). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/pep.html
    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/prep.html
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). ข้อมูลสิทธิประโยชน์ด้านการเข้าถึงบริการ PEP/PrEP และการตรวจเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
  • รู้จัก Doxy-PEP การใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    รู้จัก Doxy-PEP การใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่ท้าทาย แม้ในปัจจุบันเรามีเครื่องมือป้องกันหลายอย่าง เช่น ถุงยางอนามัย, PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับการป้องกันเอชไอวี, และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อซิฟิลิส หนองใน และหนองในเทียม ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    หนึ่งในแนวทางใหม่ที่เริ่มได้รับความสนใจในแวดวงการแพทย์ และสาธารณสุข คือ Doxy-PEP (Doxycycline Post-Exposure Prophylaxis) หรือการใช้ยาปฏิชีวนะ Doxycycline หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง เพื่อช่วยลดโอกาสการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เราจะพาคุณทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Doxy-PEP ตั้งแต่ความหมาย กลไกการทำงาน ประสิทธิภาพ ข้อดี ข้อจำกัด ไปจนถึงประเด็นการวิจัย และข้อถกเถียงด้านสาธารณสุข

    รู้จัก Doxy-PEP: การใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    Doxy-PEP คืออะไร?

    Doxy-PEP (Doxycycline Post-Exposure Prophylaxis) คือ การใช้ยาปฏิชีวนะ doxycycline ขนาด 200 มก. ภายใน ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง (เช่น ไม่ได้ใช้ถุงยาง หรือถุงยางแตก) โดยกำหนด ไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน จุดประสงค์ คือ ลดโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย ได้แก่ ซิฟิลิส (Treponema pallidum), หนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae), หนองในเทียม (Chlamydia trachomatis) ไม่ครอบคลุมโรคจากไวรัส (เช่น HIV, เริม, ไวรัสตับอักเสบ ฯลฯ) และจึง ไม่ทดแทน PrEP/PEP ป้องกัน HIV หรือถุงยาง แต่เป็น ตัวเสริม หลังเหตุการณ์เสี่ยงเท่านั้น

    กลไกการออกฤทธิ์ของ Doxycycline

    • Doxycycline เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม tetracycline
    • ออกฤทธิ์โดย ยับยั้งการสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรีย → ทำให้เชื้อไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
    • เมื่อเชื้อหยุดแบ่งตัว ร่างกายสามารถใช้ ระบบภูมิคุ้มกัน กำจัดเชื้อออกไป
    • หากรับประทานเป็น PEP (Post-Exposure Prophylaxis) หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงภายในเวลาไม่นาน → ยาจะช่วยตัดวงจร ไม่ให้เชื้อแบคทีเรียตั้งหลักในร่างกาย และก่อโรคได้เต็มรูป

    ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ Doxy-PEP

    • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และ สตรีข้ามเพศ (TGW) ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง
    • ผู้ที่เคยติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซ้ำ ๆ หรือมีประวัติการติดเชื้อแบคทีเรียทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม อย่างน้อย 1 ครั้งในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา
    • ควรได้รับ Doxy-PEP ร่วมกับแพ็กเกจบริการสุขภาพทางเพศแบบครบวงจร ได้แก่
      • การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุก 3 เดือน
      • การฉีดวัคซีนที่จำเป็น เช่น HPV และ ไวรัสตับอักเสบบี
      • การประเมินความเสี่ยง และปรับพฤติกรรมรายบุคคล
    • การใช้ Doxy-PEP ควรอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ และไม่ควรซื้อใช้เอง
    • ผู้ที่ใช้ PrEP อยู่แล้ว และต้องการป้องกันโรคอื่นเพิ่มเติม
    • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ค่อยใช้ถุงยางอนามัย

    วิธีใช้ Doxy-PEP ที่ถูกต้อง

    ขนาด & เวลา

    • 200 มก. (มักเป็นแคปซูล 100 มก. x 2)
    • กินให้เร็วที่สุด หลังเสี่ยง โดยยังอยู่ในกรอบ ≤72 ชม. (ยิ่งเร็ว ยิ่งมีโอกาสป้องกันสูง)
    • ความถี่: ไม่เกิน 1 โดส/วัน ต่อช่วงเวลา 24 ชม. ถึงแม้จะมีเพศสัมพันธ์หลายครั้งใน 24 ชม. นับเป็น หนึ่งโดสเดียว

    วิธีกินให้ปลอดภัย

    • กลืนด้วย น้ำเต็มแก้ว และ นั่ง/ยืน อย่างน้อย 30 นาที หลังกลืน เพื่อลดการระคายเคืองหลอดอาหาร
    • หลีกเลี่ยง นม/โยเกิร์ต/แคลเซียม/เหล็ก/แมกนีเซียม/สังกะสี/ยาลดกรด/บิสมัทซับซาลิไซเลต ช่วง ก่อน–หลัง 2 ชม. (ลดการจับตัวของยา ทำให้ประสิทธิภาพตก)
    • หาก อาเจียนภายใน ~1 ชม. หลังรับประทาน และเห็นแคปซูล/เม็ดยา อาจต้องรับซ้ำ 1 โดส (ถ้าไม่แน่ใจ โทร/ปรึกษาแพทย์)

    ตัวอย่างสถานการณ์

    • ศุกร์ตีหนึ่งมีเพศสัมพันธ์เสี่ยง → กินโดสแรกทันที (ศุกร์ 01:30)
    • ถ้าคืนเสาร์มีเสี่ยงอีกครั้ง และยังไม่ครบ 24 ชม.จากโดสก่อน อย่ากินเพิ่ม; หากเลย 24 ชม. แล้วจึงรับ 200 มก. ได้อีกครั้ง

    ใช้ร่วมกับมาตรการอื่น

    • ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่เป็นไปได้
    • ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ สม่ำเสมอ (ส่วนใหญ่ทุก 3–6 เดือน)
    • พิจารณา PrEP (HIV) ถ้าเสี่ยงสูง และ PEP (HIV) ภายใน 72 ชม. หลังเสี่ยงกรณีไม่ได้ป้องกัน
    ข้อดีของการใช้ Doxy-PEP

    ข้อดีของการใช้ Doxy-PEP

    • ลดโอกาสเป็น ซิฟิลิส/หนองในเทียม ได้อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเป้าหมาย
    • ใช้ร่วมกับ PrEP (HIV) เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสเอชไอวี และลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
    • อาจช่วยลดการแพร่เชื้อระดับชุมชน หากใช้แบบมีเป้าหมาย และติดตามใกล้ชิด (โปรแกรมคัดกรองทุก 3 เดือน)

    ข้อจำกัด และข้อควรระวังของใช้ Doxy-PEP

    • การดื้อยาปฏิชีวนะ การใช้ถี่หรือใช้กว้างขวางเกินจำเป็น อาจเร่ง antibiotic resistance โดยเฉพาะ หนองในแท้ ที่มีปัญหาดื้อยาทั่วโลก จึงต้องใช้แบบจำเพาะกลุ่มเสี่ยง + ติดตามผล เท่านั้น
    • ผลข้างเคียงพบบ่อย
      • คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย/กรดไหลย้อน (ลดได้ด้วยการกินหลังอาหารเบา ๆ + น้ำมาก ๆ)
      • ผิวไวแสง (photosensitivity): ระวังแดดจัด/ใช้กันแดด/ใส่เสื้อปกปิด
    • ปฏิกิริยาระหว่างยา/ข้อห้าม
      • หลีกเลี่ยงร่วมกับ isotretinoin (เสี่ยงความดันในกะโหลกศีรษะสูง)
      • ระวังร่วมกับ warfarin (อาจทำให้ INR เปลี่ยน ต้องติดตาม)
      • แพ้ tetracycline, ตั้งครรภ์/ให้นม, อายุ <8 ปี: ไม่แนะนำ
      • ถ้ามีอาการ ผื่น/หายใจลำบาก/บวม → หยุดยา และไปพบแพทย์ทันที
    • ข้อจำกัดด้านความครอบคลุมโรค ไม่ป้องกัน HIV, HSV, HBV/HCV—ยังต้องใช้ ถุงยาง, PrEP/PEP (HIV), วัคซีนตับบี/HPV ตามความเหมาะสม
    • ไม่ใช่ยารักษาโรคที่เริ่มมีอาการแล้ว ถ้าคุณมีอาการชัด (เช่น แผล/ผื่น/ตกขาวหนอง/ปัสสาวะแสบขัด) → ควรได้รับ การวินิจฉัย และสูตรยารักษาเต็มคอร์ส ไม่ใช่ Doxy-PEP

    การดูแลต่อเนื่องเมื่อเริ่ม Doxy-PEP

    • ติดตามทุก 3 เดือน: ทบทวนความถี่การใช้, ผลข้างเคียง, ตรวจ HIV/ซิฟิลิส/CT-NG ตามตำแหน่งเสี่ยง (อวัยวะเพศ/คอ/ทวารหนัก), ทบทวน วัคซีน (HPV/ตับบี) และการใช้ PrEP/PEP
    • การใช้ซ้ำบ่อย ๆ: ถ้าใช้บ่อยเพราะเสี่ยงถี่ ควรพูดคุยปรับแผนการป้องกัน (สื่อสารกับคู่นอน/เพิ่มการใช้ถุงยาง/ปรับพฤติกรรม/จัดการปัจจัยแอลกอฮอล์–สารเสพติด)

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    Doxy-PEP เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามองในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากแบคทีเรีย เช่น ซิฟิลิส หนองใน และหนองในเทียม โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง แม้ผลวิจัยชี้ว่ามีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงเรื่อง การดื้อยา และผลกระทบระยะยาว การใช้ Doxy-PEP จึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และต้องใช้ร่วมกับวิธีป้องกันอื่น เช่น ถุงยางอนามัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

    การรู้จัก และเข้าใจ Doxy-PEP อย่างรอบด้าน จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล และปกป้องสุขภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). Doxy PEP for Bacterial STI Prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/doxy-pep
    • World Health Organization (WHO). (2023). Sexually transmitted infections (STIs). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
    • Molina, J.M., et al. (2018). Post-exposure prophylaxis with doxycycline to prevent sexually transmitted infections in men who have sex with men: ANRS IPERGAY substudy. The Lancet Infectious Diseases. [ออนไลน์] https://doi.org/10.1016/S1473-3099(18)30044-8
    • CDC Fact Sheet. (2022). HIV, STDs, and Gay and Bisexual Men. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/life-stages-populations/msm.htm
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: แนวทางป้องกันและควบคุมโรค. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
  • ตรวจเร็วไป อาจไม่ชัวร์! ทำไมต้องรู้จัก Window Period?

    ตรวจเร็วไป อาจไม่ชัวร์! ทำไมต้องรู้จัก Window Period?

    ในยุคที่การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเอชไอวี (HIV) กลายเป็นเรื่องที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้มากขึ้น ความรู้เกี่ยวกับ “Window Period” หรือ “ระยะเวลาฟักตัวที่ตรวจไม่พบเชื้อ” จึงเป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะถึงแม้จะตรวจหาเชื้อแล้วได้ผลเป็นลบ ก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไปหากยังอยู่ในช่วงเวลานี้ การทำความเข้าใจว่า Window Period คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และมีผลต่อการวางแผนดูแลสุขภาพอย่างไร

    ตรวจเร็วไป อาจไม่ชัวร์! ทำไมต้องรู้จัก Window Period?

    Window Period คืออะไร?

    Window Period หรือที่เรียกว่า ระยะฟักตัว คือ ช่วงเวลาสำคัญทางการแพทย์ระหว่าง การรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย กับ ช่วงที่สามารถตรวจพบเชื้อได้ด้วยวิธีการทางห้องปฏิบัติการ กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มติดเชื้อแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐาน มากพอให้การตรวจหาเชื้อแสดงผลได้อย่างแม่นยำ

    ในช่วงนี้ แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีเชื้ออยู่ในร่างกายแล้วจริง แต่

    • ร่างกายยังไม่สร้าง แอนติบอดี (Antibody) ที่สามารถตรวจจับได้
    • หรือระดับ ไวรัสในเลือด (Viral Load) ยังต่ำเกินกว่าความไวของเครื่องมือจะตรวจพบ

    ทำไมต้องรู้จัก Window Period?

    Window Period หรือ ช่วงเวลาบอดของการตรวจโรค เป็นข้อมูลสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม แต่ความเข้าใจในเรื่องนี้สามารถช่วยให้เราวางแผนสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ป้องกันการแพร่เชื้อ และลดความเสี่ยงต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะในการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองใน หรือไวรัสตับอักเสบ B และ C

    • เพื่อการวางแผนตรวจสุขภาพที่ถูกต้อง
      • การทราบว่าแต่ละโรคมี Window Period หรือระยะเวลาบอดของการตรวจอยู่เท่าใด จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการตรวจสุขภาพได้อย่างแม่นยำ เพราะถ้าคุณรีบตรวจเร็วเกินไปหลังมีพฤติกรรมเสี่ยง แม้จะมีการติดเชื้อเกิดขึ้นแล้ว แต่อาจยังไม่สามารถตรวจพบได้ ทำให้ผลตรวจออกมาเป็นลบ (False Negative) และพลาดโอกาสในการรู้สถานะสุขภาพของตนเองอย่างถูกต้อง
      • ตัวอย่างเช่น หากคุณตรวจ HIV แบบ Antibody Test ภายใน 2 สัปดาห์หลังมีพฤติกรรมเสี่ยง ผลตรวจอาจยังไม่แสดงว่า “ติดเชื้อ” ทั้งที่เชื้อเริ่มมีอยู่แล้วในร่างกาย แต่ยังไม่เพียงพอให้เครื่องมือตรวจจับได้ จึงควรรอพ้นระยะ Window Period ก่อนจึงค่อยตรวจซ้ำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ
    • ป้องกันความเข้าใจผิด
      • ความเข้าใจผิดเป็นสิ่งที่อันตราย โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับสุขภาพและโรคติดต่อ หากคุณไม่ทราบว่าผลตรวจในช่วง Window Period อาจไม่สะท้อนสถานะการติดเชื้อจริง คุณอาจ “เข้าใจผิดว่าปลอดภัย” และละเลยการป้องกันในอนาคต เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย หรือไม่ระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่ง ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
      • นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่ความประมาท เช่น ไม่ตรวจซ้ำหลังพ้น Window Period หรือไม่ให้ข้อมูลประวัติความเสี่ยงที่ถูกต้องกับแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรค
      • เมื่อเข้าใจ Window Period อย่างถูกต้อง คุณจะสามารถวางแผนการใช้วิธีป้องกันต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น:
      • การใช้ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): หากคุณมีความเสี่ยงต่อ HIV เป็นประจำ เช่น มีคู่นอนหลายคน หรืออยู่ในกลุ่มเปราะบาง การใช้ PrEP ร่วมกับการเข้าใจระยะ Window Period จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดีขึ้น
      • การใช้ PEP (Post-Exposure Prophylaxis): สำหรับผู้ที่เพิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงภายใน 72 ชั่วโมง การเริ่ม PEP ทันทีอาจป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้ หากทำควบคู่กับการตรวจซ้ำหลังพ้น Window Period
      • การสวมถุงยางอนามัยและการลดพฤติกรรมเสี่ยง: เมื่อทราบว่าผลตรวจครั้งแรกอาจไม่น่าเชื่อถือในช่วง Window Period ก็จะยิ่งระมัดระวังในการมีพฤติกรรมทางเพศ โดยไม่ยึดติดกับผลตรวจ “ลบ” ที่อาจเป็นเพียงผลลบลวง

    ทำไมช่วง Window Period จึงมีความสำคัญ?

    เพราะในช่วงเวลานี้

    • ผลการตรวจอาจเป็นลบ หรือไม่พบเชื้อ ทั้งที่จริงแล้ว มีเชื้ออยู่ในร่างกายแล้ว
    • อาจทำให้เกิด ความเข้าใจผิดว่าตนเองปลอดภัย และไม่ได้ใช้มาตรการป้องกัน เช่น การใช้ถุงยางหรือการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
    • สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ แม้ผลตรวจจะแสดงว่าไม่พบเชื้อ

    ตัวอย่างของระยะ Window Period (ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ)

    Window Period หรือระยะหน้าต่าง ไม่ได้มีระยะเวลาคงที่เสมอไป แต่จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ชนิดของการตรวจ ที่ใช้และ การตอบสนองของร่างกายแต่ละคน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

    การตรวจแอนติบอดีแบบดั้งเดิม (Antibody Test) การตรวจชนิดนี้จะค้นหา “แอนติบอดี” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อไวรัส เช่น HIV

    • กลไก: ไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่ตรวจหา ภูมิคุ้มกัน ที่ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อ
    • ระยะเวลา Window Period: โดยทั่วไปอยู่ที่ 3–12 สัปดาห์ (ประมาณ 21–90 วัน) หลังจากติดเชื้อ
    • ข้อจำกัด: หากตรวจเร็วเกินไป แอนติบอดีอาจยังไม่เพียงพอ ทำให้ผลออกมาเป็นลบทั้งที่มีการติดเชื้อแล้ว
    • เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับการตรวจในกรณีที่พ้นระยะเสี่ยงมาแล้วมากกว่า 1 เดือน

    การตรวจแบบคอมโบ (Antigen/Antibody Test หรือ 4th Generation Test) เป็นการตรวจที่พัฒนากว่าการตรวจแอนติบอดีแบบเดิม โดยตรวจทั้ง แอนติเจน p24 และ แอนติบอดี ไปพร้อมกัน

    • กลไก: สามารถตรวจพบ แอนติเจน p24 ซึ่งเป็นโปรตีนของไวรัส HIV ที่ปรากฏในระยะแรกหลังติดเชื้อ
    • ระยะเวลา Window Period: สั้นลงเหลือเพียง 2–6 สัปดาห์ (ประมาณ 14–42 วัน)
    • ข้อดี: ตรวจพบได้เร็วกว่าการตรวจแอนติบอดีแบบเดิมถึงหลายสัปดาห์
    • เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในช่วง 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องการทราบผลไว

    การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) หรือ PCR เป็นการตรวจที่แม่นยำและเร็วที่สุด โดยค้นหา “สารพันธุกรรมของไวรัส” โดยตรง เช่น RNA ของเชื้อ HIV

    • กลไก: ตรวจหา ไวรัสตัวจริง ในเลือดก่อนที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันใด ๆ
    • ระยะเวลา Window Period: ประมาณ 7–14 วัน (1–2 สัปดาห์) หลังจากได้รับเชื้อ
    • ข้อดี: ตรวจพบได้เร็วมาก เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเพิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง
    • ข้อจำกัด: มีราคาสูง ใช้ในบางสถานการณ์ เช่น การบริจาคเลือด หรือกรณีเร่งด่วน
    • เหมาะกับใคร: ผู้ที่เพิ่งมีความเสี่ยงและต้องการรู้ผลอย่างเร็วที่สุด

    สรุปเปรียบเทียบ

    ประเภทการตรวจสิ่งที่ตรวจหาระยะเวลา Window Period โดยประมาณเหมาะสำหรับ
    Antibody Testแอนติบอดี (ภูมิคุ้มกัน)3–12 สัปดาห์ตรวจหลังพ้นระยะเสี่ยงนาน ๆ
    Antigen/Antibody Combo Test (4th Gen)แอนติเจน p24 และแอนติบอดี2–6 สัปดาห์ตรวจหลังเสี่ยง 2 สัปดาห์ขึ้นไป
    NAT / PCRสารพันธุกรรมของไวรัส (RNA / DNA)7–14 วันตรวจเร็วที่สุดหลังความเสี่ยงสูง

    การเลือกวิธีตรวจควรพิจารณาจากช่วงเวลาหลังเสี่ยงและจุดประสงค์ของการตรวจ หากต้องการความแม่นยำสูง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการตรวจในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อผลตรวจจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจทางสุขภาพหรือความสัมพันธ์.

    ระยะ Window Period ในโรคต่าง ๆ

    ระยะ Window Period ในโรคต่าง ๆ

    Window Period คือ ช่วงเวลาหลังจากที่ติดเชื้อแต่ร่างกายยังไม่แสดงสัญญาณที่สามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแอนติบอดี แอนติเจน หรือสารพันธุกรรมของเชื้อ โดยแต่ละโรคมีระยะหน้าต่างที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อและเทคนิคการตรวจ ดังนี้

    • เอชไอวี (HIV)
      • การตรวจแบบ Antibody (แอนติบอดี) เป็นการตรวจที่ใช้เวลาร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อไวรัส HIV
        • Window Period: ประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
        • ผลลบในช่วงแรกอาจไม่ชัวร์ ต้องตรวจซ้ำหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
      • การตรวจแบบ Antigen/Antibody (4th Generation) ตรวจหาโปรตีนไวรัส (p24 antigen) และแอนติบอดีควบคู่กัน
        • Window Period: ประมาณ 2–6 สัปดาห์
        • ความแม่นยำสูง ตรวจพบเชื้อเร็วขึ้น
      • การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Test) ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรง เช่น RNA หรือ DNA
        • Window Period: ประมาณ 10–33 วัน หลังรับเชื้อ
        • ตรวจได้เร็วสุด แม่นยำมาก เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงสูง
    • โรคซิฟิลิส (Syphilis) การตรวจหาแอนติบอดีในเลือด เช่น RPR, VDRL หรือ TPHA
      • Window Period: ประมาณ 3–6 สัปดาห์
      • ในระยะแรกอาจไม่มีอาการ จึงแนะนำให้ตรวจหลังเสี่ยงไม่ต่ำกว่า 1 เดือน
    • โรคนองในแท้ (Gonorrhea) และโรคหนองในเทียม (Chlamydia) ตรวจด้วยการเก็บสารคัดหลั่งหรือปัสสาวะ ตรวจหาด้วย NAAT (Nucleic Acid Amplification Test)
      • Window Period: ประมาณ 1–5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
      • ส่วนใหญ่มักตรวจพบเชื้อภายใน 1 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
    • โรคเริม (Herpes Simplex Virus – HSV) ตรวจได้ทั้งจากการเพาะเชื้อ แอนติบอดี หรือการตรวจ DNA
      • Window Period: ประมาณ 2–12 วัน
      • หากไม่มีแผลหรืออาการอาจตรวจไม่พบ ควรรอจนเกิดตุ่มหรือแผลก่อนทำการตรวจ
    • โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) การตรวจ HBsAg สำหรับไวรัสตับอักเสบบี และ Anti-HCV หรือ HCV RNA สำหรับไวรัสตับอักเสบซี
      • Window Period: โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 4–12 สัปดาห์
      • หากตรวจเร็วเกินไปอาจให้ผลลบลวง ควรรอตรวจหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 1–2 เดือน

    สรุปเปรียบเทียบระยะ Window Period ในโรคต่าง ๆ

    โรคติดต่อวิธีตรวจระยะ Window Period โดยประมาณ
    HIV – Antibodyตรวจแอนติบอดี3 สัปดาห์ – 3 เดือน
    HIV – 4th Genตรวจแอนติเจน/แอนติบอดี2 – 6 สัปดาห์
    HIV – NAT / PCRตรวจสารพันธุกรรม10 – 33 วัน
    ซิฟิลิสตรวจแอนติบอดีในเลือด3 – 6 สัปดาห์
    หนองใน / หนองในเทียมตรวจจากสารคัดหลั่ง / ปัสสาวะ1 – 14 วัน
    เริม (HSV)ตรวจจากแผล / เลือด2 – 12 วัน
    ไวรัสตับอักเสบบี / ซีตรวจเลือด HBsAg / Anti-HCV4 – 12 สัปดาห์

    ตรวจเร็วไปเกิดอะไรขึ้น?

    การตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไวรัสต่าง ๆ ในช่วงที่ยังอยู่ใน Window Period หรือช่วงเวลาที่ร่างกายยังไม่แสดงหลักฐานของการติดเชื้อ อาจทำให้ ผลการตรวจออกมาเป็นลบ (Negative) ทั้งที่ในความเป็นจริงได้ติดเชื้อไปแล้ว ซึ่งเป็นผลลวงหรือผลลบลวง (False Negative)

    ผลลบลวงนี้อาจส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง ดังนี้:

    • เสี่ยงแพร่เชื้อให้คู่ของคุณ เมื่อผลตรวจแสดงว่าไม่ติดเชื้อ ทั้งที่แท้จริงร่างกายเริ่มมีเชื้ออยู่แล้ว อาจทำให้คุณและคู่ของคุณ ไม่ป้องกันตัวเอง หรือใช้พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง เช่น ไม่ใส่ถุงยางอนามัย ส่งผลให้เชื้อถูกส่งต่อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
    • ชะลอการเข้ารับการรักษา การรู้ผลลวงว่าไม่ติดเชื้อ อาจทำให้คุณไม่ได้รับการติดตามดูแลหรือเริ่มการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การเข้ารับยา ยาต้านไวรัส HIV (ART) ในกรณีติดเชื้อ HIV หากเริ่มรักษาเร็วจะช่วยกดไวรัสได้ดี ลดการแพร่เชื้อ และป้องกันโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
    • พลาดโอกาสในการรับยาต้านฉุกเฉิน (PEP) หากคุณเพิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงและตรวจเร็วเกินไป โดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้พลาดโอกาสในการรับยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ จึงจะได้ผลในการป้องกัน HIV หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเข้าใจผิดว่าตนเองปลอดภัย คุณจะสูญเสียโอกาสในการป้องกันการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น
    • เกิดความเครียดจากการตรวจซ้ำหลายครั้ง บางคนอาจตรวจเร็วไป แล้วได้ผลลบ ทำให้รู้สึกคลายกังวลในตอนแรก แต่ต่อมากลับสงสัยและวิตกกังวลจากข้อมูลที่ได้รับรู้ทีหลังเกี่ยวกับ Window Period จึงต้องตรวจซ้ำหลายครั้งในช่วงเวลาห่างกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิด ความเครียดสะสม ความกลัว และความไม่แน่ใจในผลตรวจ

    คำแนะนำ

    • หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงภายในช่วง 72 ชั่วโมง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรับยา PEP
    • หากตรวจแล้วได้ผลลบในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์เสี่ยง ควร ตรวจซ้ำหลังพ้น Window Period
    • หากไม่แน่ใจว่าควรตรวจเมื่อใด ควรขอคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ด้านนี้โดยตรง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    Window Period คือ จุดสำคัญที่ทุกคนควรเข้าใจเมื่อพูดถึงการตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่ผลตรวจอาจให้ข้อมูลผิด ทำให้เกิดความประมาทโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การตรวจในเวลาที่เหมาะสม และการตรวจซ้ำตามระยะที่แนะนำ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพทางเพศให้ปลอดภัย

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Testing. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/basics/testing.html
    • World Health Organization (WHO). Guidelines on HIV self-testing and partner notification. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/publications/i/item/9789241550581
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการตรวจและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
    • AVERT. HIV Window Period. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.avert.org/professionals/hiv-testing/window-period
    • UNAIDS. Ending AIDS: Progress towards the 90–90–90 targets. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org
  • HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) หรือเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความกลัว อคติ และการตีตราในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และความเข้าใจทางสังคมที่ดีขึ้น การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้เป็นคำตัดสินประหารชีวิตอีกต่อไป ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หากได้รับการรักษา และดูแลอย่างเหมาะสม

    บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี การวินิจฉัย การรักษายุคใหม่ เช่น ยาต้านไวรัสสูตรปัจจุบัน แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) และวิถีชีวิตของผู้มีเชื้อเอชไอวี ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี และปกติในสังคม

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) คืออะไร?

    เอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี จะพัฒนากลายเป็น โรคเอดส์ (AIDS = Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และมะเร็งบางชนิด

    แต่ด้วยการตรวจพบเชื้อแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที ผู้มีเชื้อสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ได้ และสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

    การวินิจฉัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

    ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ โดยวิธีตรวจหลัก ๆ ได้แก่:

    • การตรวจแอนติบอดี (Antibody Test) เป็นวิธีการตรวจพื้นฐาน และพบมากที่สุด โดยตรวจหา “แอนติบอดี” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี
      • มักใช้ตัวอย่างเลือด หรือของเหลวจากช่องปาก
      • มักสามารถตรวจพบได้ภายใน 3-12 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
      • หากตรวจหลังระยะฟักตัว (window period) จะให้ผลแม่นยำสูง
    • การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) เป็นการตรวจแบบเร่งด่วน โดยรู้ผลภายใน 15-30 นาที
      • นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น
      • ใช้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน
      • มีทั้งแบบเจาะเลือดปลายนิ้ว และใช้ของเหลวในช่องปาก
      • หากผลเป็นบวก จำเป็นต้องยืนยันผลอีกครั้งด้วยวิธีมาตรฐาน
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) เป็นการตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยตรง
      • มีความไว และแม่นยำสูง
      • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 10-33 วันหลังรับเชื้อ
      • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการผลชัดเจนในระยะเริ่มต้น หรือตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
      • มักใช้ในสถานพยาบาลขนาดใหญ่ หรือกรณีเฉพาะทาง

    การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรเป็นกิจวัตรสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และไม่ควรรอให้มีอาการ เพราะการตรวจเร็วจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART): หัวใจของการควบคุมเอชไอวี

    Antiretroviral Therapy (ART) หรือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือแนวทางการรักษาหลัก และได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน โดยใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อควบคุมการทำงานของไวรัส ไม่ให้เพิ่มจำนวนในร่างกาย

    แม้ว่า ART จะ ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้อย่างถาวร แต่สามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากจน ไม่สามารถตรวจพบได้ในเลือด (Undetectable) ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

    การกินยาอย่างสม่ำเสมอ ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยับยั้งการลุกลามของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย เมื่อไวรัสถูกควบคุมไว้ได้ การทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะลดลงอย่างมาก ป้องกันการลุกลามไปสู่ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    • ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ยาต้านไวรัสช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันกลับมาแข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infections)
    • ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทำให้ผู้ที่มีปริมาณไวรัสในร่างกายต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้คู่ของตนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยลดการแพร่ระบาดในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
    • เพิ่มคุณภาพชีวิต และอายุขัย เพราะผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป และมีสุขภาพแข็งแรง ประกอบอาชีพ และมีครอบครัวได้

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัส ART

    • ต้อง รับประทานยาอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา
    • ควรตรวจติดตามสุขภาพ และปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) อย่างสม่ำเสมอ
    • การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ไวรัสดื้อยา และกลับมาระบาดในร่างกายได้
    แนวคิด U=U _ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    แนวคิด U=U : ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    หนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ และนโยบายสาธารณสุขที่สำคัญ คือ แนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งยืนยันจากงานวิจัยระดับโลกว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัส ART และมีไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) จะไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้อื่น

    U=U เป็นสิ่งที่ช่วยลดการตีตรา และเป็นแรงผลักดันให้ผู้มีเชื้อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องคนรอบข้างอีกด้วย

    การรักษายุคใหม่ ยาครั้งเดียวต่อวัน สะดวก ปลอดภัย

    ในอดีตผู้มีเชื้อต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัสแบบสูตรเดียว (Single Tablet Regimen) เช่น:

    • TLD (Tenofovir/ Lamivudine/ Dolutegravir)
    • Biktarvy
    • Dovato

    นอกจากนี้ยังมีทางเลือกใหม่คือ ยาฉีดแบบ Long-Acting อย่าง Cabotegravir + Rilpivirine ซึ่งฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 2 เดือน เหมาะกับผู้ที่ลืมกินยาบ่อย ๆ

    การดูแลตนเองในระยะยาว

    การมีเชื้อเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าต้องจำกัดชีวิต แต่ควรมีการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น:

    • พบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือดดูระดับ CD4 และ viral load
    • ดูแลโภชนาการ ให้ร่างกายแข็งแรง
    • ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และ STI อื่น ๆ
    • สุขภาพจิต สำคัญไม่แพ้ร่างกาย ควรได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัว และชุมชน

    การใช้ชีวิตร่วมกับคนที่มีเชื้อเอชไอวี

    • ไม่สามารถติดเชื้อได้จากการจับมือ กินข้าวร่วมกัน หรือใช้ห้องน้ำร่วมกัน
    • หากมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยาง หรือ ยาเพร็พ (PrEP) เพื่อป้องกัน
    • ให้การสนับสนุน ไม่ตีตรา จะช่วยให้ผู้มีเชื้อใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและไม่ซ่อนตัวจากสังคม

    การติดเชื้อเอชไอวี กับการตั้งครรภ์ และการมีลูก

    ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่ส่งต่อเชื้อไปยังลูก หากมีการรับยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด รวมถึงให้ลูกได้รับยาป้องกันตามแพทย์แนะนำ

    อัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกสามารถลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ได้

    ความหวังใหม่: วัคซีน และการรักษาเพื่อหายขาด

    แม้ตอนนี้การติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีรักษาให้หายขาด 100% แต่ก็มีความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน เช่น

    • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี อยู่ในขั้นทดลองหลายสูตรทั่วโลก
    • การใช้เทคโนโลยี CRISPR เพื่อกำจัดไวรัสจากเซลล์
    • ยาต้านไวรัสแบบฉีดระยะยาวที่สะดวกขึ้น

    แนวโน้มเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความหวังในอนาคตว่า การติดเชื้อเอชไอวี จะไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขอีกต่อไป

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่จุดจบอีกต่อไป ด้วยการตรวจเร็ว รักษาเร็ว และดูแลต่อเนื่อง ผู้มีเชื้อสามารถมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า มีงาน มีครอบครัว มีความรัก และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างภาคภูมิใจ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การไม่ตีตรา ไม่กลัว และไม่ปิดกั้นโอกาสให้กับผู้ติดเชื้อ เพราะ การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำให้ใครหมดสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี

    ในยุคที่เรามีทั้งยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ และแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม การติดเชื้อเอชไอวี จึงกลายเป็นเพียงโรคเรื้อรังอีกโรคหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และหัวใจที่ไม่ตัดสินใครจากสถานะของเขา

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics – Living with HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/index.html
    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. Understanding Undetectable = Untransmittable (U=U). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก
      https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2021/july/20210721_u-equals-u
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ยาต้านไวรัสเอชไอวีและแนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). สิทธิการรักษาเอชไอวีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
  • รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อระบบผิวหนัง และเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศ มีสาเหตุจากไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ที่แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักคือ HSV-1 และ HSV-2 ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้ แม้ว่าทั่วไปแล้ว HSV-2 จะเป็นสาเหตุหลักของโรคเริมที่อวัยวะเพศ ในขณะที่ HSV-1 มักเกี่ยวข้องกับเริมที่ปากหรือริมฝีปาก แต่ปัจจุบันพบว่าทั้งสองชนิดสามารถติดเชื้อได้ทั้งบริเวณอวัยวะเพศ และปาก

    โรคเริมที่อวัยวะเพศไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจ และความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ป่วยด้วย ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคเริมที่อวัยวะเพศอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีสังเกต การรักษา และวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถป้องกัน และรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    โรคเริมที่อวัยวะเพศ คืออะไร?

    โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือ โรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัส HSV ซึ่งติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อไวรัสในบริเวณอวัยวะเพศ ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลเล็ก ๆ หรือเยื่อเมือก และจะซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาทจนกว่าจะมีการกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นมา

    เริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการ และลดการแพร่เชื้อได้ด้วยยา และการดูแลตัวเอง

    สาเหตุของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    สาเหตุหลักของโรคเริมที่อวัยวะเพศคือการติดเชื้อไวรัส HSV ผ่านทาง

    • การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก
    • การสัมผัสกับแผลหรือของเหลวที่มีเชื้อไวรัส เช่น การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันที่มีเลือดหรือน้ำเหลืองติดอยู่
    • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอดในกรณีที่แม่มีการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ

    อาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    อาการเริมที่อวัยวะเพศอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย (ภาวะซ่อนเร้น) ขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรง และเกิดซ้ำได้ อาการทั่วไปที่พบบ่อย ได้แก่

    • มีตุ่มพองใสหรือแผลพุพองเล็ก ๆ บริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปากช่องคลอด รอบ ๆ ทวารหนัก หรือบริเวณขาหนีบ
    • แผลเหล่านี้จะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อยที่เจ็บปวด
    • รู้สึกแสบหรือคันบริเวณที่เป็นแผล
    • บางรายอาจมีอาการเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรือมีตกขาวผิดปกติ
    • ในบางครั้งอาจมีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม 

    วิธีสังเกต และตรวจวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • สังเกตอาการเบื้องต้น หากพบตุ่มพองใสหรือแผลบริเวณอวัยวะเพศที่มีอาการเจ็บปวดร่วมกับไข้ หรือมีประวัติการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง ควรเฝ้าสังเกต และรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
    • การตรวจทางการแพทย์ แพทย์จะตรวจโดยการ
      • สอบถามประวัติทางเพศ และอาการที่เป็น
      • ตรวจร่างกายบริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณที่มีแผล
      • เจาะเลือดตรวจหาแอนติบอดีของไวรัส HSV เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ
      • ตรวจหาไวรัสจากแผลโดยตรงด้วยการเก็บตัวอย่างน้ำจากตุ่มพองไปตรวจ
    วิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    วิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศให้หายขาด แต่มีวิธีการรักษาเพื่อลดอาการ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

    • ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir ช่วยลดความรุนแรงของอาการ และลดระยะเวลาการเกิดแผล
    • การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณแผลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • การหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีอาการแผลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
    • ปรึกษาแพทย์สำหรับการรักษาต่อเนื่องในกรณีที่มีการเกิดซ้ำบ่อย

    วิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเมื่อเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นแผลด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด
    • หลีกเลี่ยงการเกาแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดแน่น
    • รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีแผล
    • แจ้งให้คู่ของตนทราบ และแนะนำให้ตรวจเชื้อ

    การป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลหรือมีอาการของโรคเริม
    • หากมีแผลควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท
    • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ในห้องน้ำ
    • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถหายขาดได้ไหม?

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันการแพร่เชื้อได้ด้วยยาและการดูแลตัวเอง

    • เริมที่อวัยวะเพศติดต่อผ่านทางไหนบ้าง?

    ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือสัมผัสกับแผลหรือน้ำเหลืองที่มีไวรัส

    • ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว ยังสามารถติดเริมได้ไหม?

    ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่ได้ป้องกันได้ 100% เนื่องจากไวรัสอาจอยู่บริเวณที่ถุงยางไม่ได้ครอบคลุม

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่พบบ่อยแต่ยังคงเป็นความเข้าใจผิดในสังคมมากมาย การรู้จักสาเหตุ อาการ วิธีสังเกต และการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพ นอกจากนี้ การป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัย และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของโรคนี้ หากสงสัยว่าตนเองมีอาการโรคเริมที่อวัยวะเพศ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และวินิจฉัยที่ถูกต้อง พร้อมรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมโรคไม่ให้ลุกลาม และลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Genital Herpes – CDC Fact Sheet. ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และการป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/herpes/stdfact-herpes.htm
    • World Health Organization (WHO). Herpes simplex virus. ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับไวรัสเริมและการแพร่ระบาด. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/herpes-simplex-virus
    • National Health Service (NHS) UK. Genital herpes. ข้อมูลอาการ การรักษา และการป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhs.uk/conditions/genital-herpes/
    • กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. โรคเริมที่อวัยวะเพศ. ข้อมูลการป้องกันและดูแล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/viralp/detail/96
    • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). โรคเริม: ความรู้และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaihealth.or.th/Content/33144-โรคเริม.html
  • วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ใช่แค่การใช้ถุงยางอนามัยหรือการตรวจโรคเป็นประจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการป้องกันล่วงหน้า ด้วยการฉีดวัคซีนที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ได้หลายชนิด และเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ รวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายรักชาย หรือผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ปลอดภัย คืออะไร?

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ปลอดภัย หมายถึง วัคซีนที่ใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ซึ่งบางโรคสามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อร่างกาย เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง การเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง หรือการกลายเป็นมะเร็งในระยะยาว

    หลักการทำงานของวัคซีนเหล่านี้ คือ การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคก่อนที่จะได้รับเชื้อจริง เมื่อเกิดการสัมผัสในภายหลัง ร่างกายจะสามารถ ตอบสนอง และกำจัดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

    วัคซีนอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

    วัคซีน HPV (HPV Vaccine)

    • ป้องกันโรค
      • มะเร็งปากมดลูก
      • มะเร็งทวารหนัก
      • มะเร็งช่องปาก และลำคอ
      • หูดหงอนไก่ (Genital warts)
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9–26 ปี เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
      • สามารถฉีดได้ถึงอายุ 45 ปี หากยังไม่เคยได้รับวัคซีน
      • เหมาะสำหรับ ทุกเพศ โดยเฉพาะกลุ่ม ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อมะเร็งทวารหนัก
    • ความสำคัญ HPV เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ และแม้ไม่แสดงอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้ การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่มะเร็งในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine)

    • ป้องกันโรค
      • ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
      • โรคตับเรื้อรัง
      • มะเร็งตับ
    • วิธีการติดเชื้อ
      • ผ่านทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
      • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
      • การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ปนเปื้อน
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • เป็นวัคซีน พื้นฐานที่เด็กไทยได้รับตั้งแต่แรกเกิด
      • ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับ หรือไม่ทราบสถานะภูมิคุ้มกัน ควรตรวจเลือด และฉีดวัคซีนให้ครบตามชุด
    • ความสำคัญ ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้ตับอักเสบแบบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ การฉีดวัคซีนครบชุดสามารถให้ภูมิคุ้มกันถาวรตลอดชีวิต

    วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)

    • ป้องกันโรค ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันที่ตับ
    • วิธีการติดเชื้อ
      • การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด
      • การสัมผัสโดยตรงกับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
      • เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ปาก (rimming)
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • ผู้ที่มีความเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศ เช่น MSM หรือผู้มีคู่นอนหลายคน
      • ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ระบาด หรือจะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
    • ความสำคัญ ไวรัสตับอักเสบเอแม้จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง แต่สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ และยังแพร่กระจายได้ง่ายมาก การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็น

    ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน?

    วัคซีนเหล่านี้ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสี่ยงเท่านั้นที่ควรฉีด แต่ “ทุกคน” ที่เคยมี หรือกำลังจะมีเพศสัมพันธ์ควรได้รับ โดยเฉพาะ:

    • วัยรุ่น และวัยเริ่มต้นเพศสัมพันธ์
    • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
    • กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะ MSM และหญิงข้ามเพศ
    • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อ STI หรือคู่ของผู้ที่มี STI
    • คนที่ไม่เคยตรวจหรือฉีดวัคซีนตับอักเสบ
    ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเพื่อเพศสัมพันธ์ปลอดภัย

    ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเพื่อเพศสัมพันธ์ปลอดภัย

    • ป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง วัคซีนช่วยป้องกันโรคที่ไม่มียารักษาเฉพาะ เช่น HPV รวมถึงโรคที่ก่อให้เกิดมะเร็งหรือภาวะเรื้อรัง
    • ลดการแพร่เชื้อในชุมชน เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน จะเกิด ภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ
    • เพิ่มความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อรู้ว่าตนเองได้รับวัคซีนป้องกัน จะรู้สึกปลอดภัย และกล้าสื่อสารเรื่องสุขภาพกับคู่มากขึ้น
    • ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา โดยเฉพาะโรคที่ต้องรักษานาน เช่น มะเร็งตับ หรือมะเร็งปากมดลูก

    วัคซีนเหล่านี้ฉีดได้ที่ไหน?

    • สถานพยาบาลทั่วไป เช่น โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน
    • คลินิกเฉพาะทางด้านวัคซีน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • คลินิกนิรนาม
    • บางจังหวัดมีบริการฟรีสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ในโครงการป้องกันเอดส์

    ควรสอบถามก่อนเข้ารับบริการ ว่ามีวัคซีนชนิดใดบ้าง ราคาเท่าไร และต้องฉีดกี่เข็ม

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวัคซีน และเพศสัมพันธ์

    Q: ฉีดวัคซีนแล้ว ยังต้องใช้ถุงยางไหม?

    A: ใช่! วัคซีนป้องกันได้บางโรค แต่ไม่ได้ป้องกันทั้งหมด เช่น หนองใน ซิฟิลิส หรือ HIV จึงยังต้องใช้ถุงยางอนามัยเสมอ

    Q: วัคซีนมีผลข้างเคียงไหม?

    A: อาจมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยเล็กน้อย หรือมีไข้เล็กน้อยในบางราย แต่ไม่อันตราย

    Q: ต้องตรวจเลือดก่อนฉีดไหม?

    A: บางวัคซีน เช่น ตับอักเสบบี อาจตรวจเลือดก่อนเพื่อดูว่ามีภูมิอยู่แล้วหรือไม่

    Q: ต้องฉีดกี่เข็ม? ต้องฉีดซ้ำไหม?

    A:  HPV: ฉีด 2–3 เข็มภายใน 6 เดือน ขึ้นกับอายุ,  Hepatitis A และ B: ต้องฉีดครบชุด (2–3 เข็ม) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันถาวร และไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำทุกปี ยกเว้นตามคำแนะนำของแพทย์

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    วัคซีนเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้จำกัดแค่รูปแบบเดียว การรู้จัก และเข้าถึงวัคซีนที่เหมาะสมจึงเป็นการดูแลตัวเอง และคนรอบข้างให้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    หากคุณยังไม่เคยตรวจภูมิ หรือยังไม่เคยรับวัคซีนเหล่านี้ ถึงเวลาที่ควรเริ่มวางแผนเพื่อ “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันนี้

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HPV Vaccination Overview. Information on recommended ages, vaccine benefits, and effectiveness. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hpv/parents/vaccine.html
    • World Health Organization (WHO). Immunization in the Western Pacific: Hepatitis B. Global guidelines on hepatitis B vaccination and prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/westernpacific/health-topics/hepatitis/regional-hepatitis-programme/hepatitis-b
    • Immunization Action Coalition. Hepatitis A and B Vaccination Information. Resources on how vaccines protect against liver infections. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.immunize.org/hepatitis
    • กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลวัคซีน HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบในกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไป. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนในมิติของสุขภาพทางเพศ. แนวคิดและนโยบายสาธารณะด้านวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nationalhealth.or.th
  • โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกัน และการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกัน และการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน มักเกิดจากเชื้อปรสิตที่ชื่อว่า Trichomonas vaginalis การติดเชื้อนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศ แต่ยังทำให้เกิดความไม่สบาย และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด คืออะไร?

    โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อจะอาศัยอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิง และท่อปัสสาวะของผู้ชาย นอกจากนี้ ยังสามารถแพร่ผ่านการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันในบางกรณี แม้พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่ผู้ชายที่ติดเชื้อก็มักไม่แสดงอาการ ทำให้เป็นพาหะในการแพร่เชื้อต่อได้

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร?

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักกับผู้ที่ติดเชื้อ
    • ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน หรือของใช้ที่เปื้อนสารคัดหลั่ง
    • การสัมผัสกับอุปกรณ์หรือของเล่นทางเพศ ที่ไม่ผ่านการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง

    อาการของโรคพยาธิในช่องคลอด

    • คันในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะเพศ เป็นอาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง ผู้ติดเชื้อจะรู้สึก คันหรือแสบที่ช่องคลอด แคมปากช่องคลอด หรืออวัยวะเพศภายนอก ร่วมกับอาการระคายเคือง เช่น แสบเมื่อสัมผัสหรือเสียดสี อาจเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อเชื้อพยาธิที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ

    • ตกขาวผิดปกติ ผู้หญิงที่ติดเชื้อมักมี ตกขาวมากกว่าปกติ โดยลักษณะของตกขาวจะมี สีเขียว เหลือง หรืออมเทา มีลักษณะเป็นฟอง และมีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า (fishy odor) กลิ่นนี้มักจะแรงขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ และเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างจำเพาะเจาะจงของโรคพยาธิในช่องคลอด

    • ปัสสาวะแสบขัด หรือรู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ เมื่อเชื้อพยาธิลุกลามไปยังท่อปัสสาวะ (urethra) จะทำให้เกิดการอักเสบ และระคายเคือง ส่งผลให้รู้สึกแสบ ปวด หรือขัดขณะปัสสาวะ ในบางรายอาจมีอาการคล้ายติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

    • เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก เยื่อบุช่องคลอดเกิดการอักเสบ ระคายเคือง และมีความแห้ง หรือมีการหลั่งตกขาวจำนวนมากที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเพศ

    • อาการในผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายมักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในบางรายอาจมีอาการได้ เช่น
      • คันหรือรู้สึกแสบที่ปลายอวัยวะเพศ
      • มีสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ
      • แสบหรือปวดขณะปัสสาวะ
      • รู้สึกไม่สบายบริเวณถุงอัณฑะหรืออัณฑะ

    อาการเหล่านี้มักไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ชายจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นพาหะ และยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้

    การรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด

    การรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด

    • การพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การวินิจฉัยที่แม่นยำเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคนี้ โดยแพทย์จะเก็บ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด (ในผู้หญิง) หรือ ปัสสาวะ (ในผู้ชาย) ไปตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาจใช้วิธี
      • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy) เพื่อตรวจหาพยาธิ Trichomonas
      • การเพาะเชื้อ (Culture) หรือการตรวจด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา เช่น NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ซึ่งมีความแม่นยำสูง การตรวจเหล่านี้จะช่วยยืนยันการติดเชื้อ และแยกโรคนี้ออกจากการติดเชื้อชนิดอื่น ๆ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย หรือหนองใน

    • การใช้ยาปฏิชีวนะ การรักษาหลักของโรคพยาธิในช่องคลอดคือการใช้ยา กลุ่ม Nitroimidazole ได้แก่ Metronidazole (เมโทรนิดาโซล) และTinidazole (ทินิดาโซล) โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นยาแบบรับประทาน (กิน) และแพทย์อาจสั่งให้ กินครั้งเดียวในขนาดสูง (single dose)
      หรือ กินต่อเนื่องวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5–7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และปัจจัยเฉพาะบุคคล

      ข้อควรระวัง ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยา เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องกินยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการหยุดยาเองจะเพิ่มความเสี่ยงในการดื้อยา และเกิดซ้ำ

    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา การมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการรักษา อาจทำให้เชื้อไม่หายขาด เกิดการติดเชื้อซ้ำจากคู่นอน แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

      คำแนะนำ ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าทั้งผู้ป่วย และคู่นอนจะได้รับการรักษาจนครบ และไม่มีอาการแล้ว

    • รักษาพร้อมกับคู่นอน แม้คู่นอนจะไม่มีอาการ ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่มีอาการของโรคนี้ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น คู่นอนทุกคนในช่วง 60 วันก่อนเริ่มมีอาการ ควรได้รับการตรวจ และรักษาพร้อมกัน หากไม่รักษาพร้อมกัน จะทำให้เกิด “วงจรติดเชื้อซ้ำ (ping-pong infection)” ซึ่งรักษายากขึ้น

    • การติดตามผลหลังการรักษา แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแล้วก็ตาม แต่ควรมีการ ติดตามผลซ้ำหลังจากรักษาครบแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหายขาดแล้ว หากยังมีอาการ หรือมีอาการกลับมาอีก อาจต้องตรวจซ้ำ และใช้ยาชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ต้องแจ้งแพทย์เพื่อเลือกการรักษาที่ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

    แนวทางปฏิบัติที่ควรทำร่วมกับการรักษา

    สิ่งที่ควรทำเหตุผล
    ไปพบแพทย์ และตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อระบุเชื้อ และเลือกยาที่เหมาะสม
    กินยาครบตามแพทย์สั่งเพื่อให้เชื้อหายขาด
    งดเว้นเพศสัมพันธ์ชั่วคราวลดโอกาสการแพร่ และติดเชื้อซ้ำ
    รักษาพร้อมกับคู่นอนป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และการระบาด
    ตรวจติดตามผลหลังรักษายืนยันว่าเชื้อหายสนิท


    วิธีการป้องกันโรคพยาธิในช่องคลอด

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผ้าเช็ดตัวหรือชุดชั้นใน
    • ทำความสะอาดอุปกรณ์ และของเล่นทางเพศอย่างถูกวิธี หลังใช้งานทุกครั้ง
    • ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ ทุก 6 เดือน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาได้ หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การใช้ถุงยางอนามัย การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก หากสงสัยว่าติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม และปลอดภัย เพื่อสุขภาพทางเพศที่ดี และความมั่นใจในทุกความสัมพันธ์

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Trichomoniasis – CDC STD Treatment Guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/treatment-guidelines/trichomoniasis.htm
    • World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs): Key facts. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
    • British Association for Sexual Health and HIV (BASHH). UK National Guideline for the Management of Trichomonas vaginalis 2014. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.bashhguidelines.org/media/1064/tv-2014-uk-guideline-update.pdf
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. พยาธิช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาได้. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/news/news_detail.php?news=25792&dept=97
    • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.). โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ความรู้เบื้องต้น. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hsri.or.th/researcher/research/new-release/detail/11832
  • ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลกระทบต่อตับ โดยไวรัสจะทำให้เกิดการอักเสบ และทำลายเซลล์ตับ หากไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ได้ สิ่งที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบซีเป็นอันตราย คือ อาการของโรคมักไม่แสดงออกในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายคนไม่รู้ตัวจนกว่าโรคจะลุกลามไปสู่ระยะเรื้อรัง

    ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?

    ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตับ และสามารถนำไปสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้แพร่กระจายผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น ผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอด

    อันตรายของไวรัสตับอักเสบซี

    • ประมาณ 75-85% ของผู้ที่ติดเชื้อ HCV จะพัฒนาเป็น โรคตับเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
    • ส่วนใหญ่ ไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อมักไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
    • เป็นสาเหตุหลักของ การปลูกถ่ายตับ ทั่วโลก

    ชนิดของไวรัสตับอักเสบซี (HCV Genotypes)

    ไวรัสตับอักเสบซีมีความหลากหลายทางพันธุกรรม และสามารถแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลัก (Genotypes 1-6) โดยแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อ อัตราการตอบสนองต่อยาต้านไวรัส และแนวทางการรักษา

    รายละเอียดของแต่ละสายพันธุ์ HCV

    • Genotype 1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ และยุโรป มีความทนต่อการรักษาสูง แต่ปัจจุบันยาต้านไวรัสแบบใหม่สามารถรักษาให้หายได้สูงถึง 95-99%
    • Genotype 2 พบมากในแถบยุโรป และอเมริกาใต้ ตอบสนองต่อการรักษาดีกว่า Genotype 1
    • Genotype 3 พบมากในเอเชียใต้ ออสเตรเลีย และบางส่วนของยุโรป มีความสัมพันธ์กับ ไขมันพอกตับ และอาจทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังเร็วขึ้น
    • Genotype 4 พบมากในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และอียิปต์ มีความทนต่อการรักษาคล้าย Genotype 1 แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสแบบใหม่
    • Genotype 5 พบมากในแอฟริกาใต้ และค่อนข้างพบได้น้อยในประเทศอื่น ๆ
    • Genotype 6 พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย เวียดนาม และจีน มีความซับซ้อนด้านพันธุกรรมแต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสที่ทันสมัย

    สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของไวรัสตับอักเสบซี

    ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทางเลือดโดยตรง เช่น

    • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน พบมากในผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด
    • การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ แม้ว่าปัจจุบันมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวดแล้วก็ตาม
    • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน หรืออุปกรณ์ทำเล็บที่ปนเปื้อนเลือด
    • การสักและการเจาะร่างกาย หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
    • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่พบได้น้อย
    •  การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แม้ว่าความเสี่ยงจะต่ำกว่าการติดเชื้อเอชไอวี แต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้

    อาการของไวรัสตับอักเสบซี

    อาการในระยะเฉียบพลัน (Acute Hepatitis C)

    ผู้ติดเชื้อประมาณ 20-30% อาจแสดงอาการภายใน 2-12 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ ซึ่งอาจรวมถึง

    • อ่อนเพลีย
    • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
    • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณตับ
    • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
    • ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีซีด

    อาการในระยะเรื้อรัง (Chronic Hepatitis C)

    มากกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อ จะกลายเป็นโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง โดย อาจไม่มีอาการเป็นเวลาหลายปี แต่ไวรัสยังคงทำลายตับอย่างต่อเนื่อง เมื่อโรคลุกลามไปสู่ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ อาการที่อาจพบ ได้แก่

    • ท้องมาน ขาบวม
    • เลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย
    • สมองเสื่อมจากภาวะตับวาย

    การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี

    หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองทันที ซึ่งสามารถทำได้โดย

    • Anti-HCV Test ตรวจหาแอนติบอดีต่อไวรัสตับอักเสบซี เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
    • HCV RNA Test (PCR Test) ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
    • การตรวจระดับเอนไซม์ตับ (Liver Function Test – LFTs) เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ
    • Fibroscan หรือ Liver Biopsy เพื่อตรวจภาวะพังผืด และความเสียหายของตับ
    การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

    การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

    ปัจจุบัน การรักษาไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีประสิทธิภาพสูง และสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยยาต้านไวรัสกลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแบบเดิม

    • การรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs) เป็นยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้สามารถรักษาหายได้ในระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ DAAs มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดไวรัสได้ถึง 95% ของผู้ที่ติดเชื้อ ตัวอย่างยากลุ่มนี้ ได้แก่ Sofosbuvir, Ledipasvir, Velpatasvir และ Glecaprevir/Pibrentasvir มีผลข้างเคียงต่ำกว่ายาอินเตอร์เฟียรอนที่เคยใช้ในอดีต
    • การติดตามผลการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย DAAs ต้องเข้ารับ การตรวจวัดระดับ HCV RNA ในเลือด เพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดหมดไป หากพบว่ามี ภาวะตับแข็ง หรือโรคตับเรื้อรัง แพทย์อาจให้การดูแลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยา และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อตับ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพตับ

    แนวทางการป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

    แม้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดที่ติดเชื้อ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น ในกรณีที่ต้องปฐมพยาบาล
    • ป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งเมื่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ทราบสถานะสุขภาพของคู่นอน  หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดแผล เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ไม่ใช้มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น
    • ตรวจสุขภาพ และคัดกรองเป็นประจำ หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่เคยได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี 1992 หรือเคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HCV เป็นระยะ และหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก
    • ระวังความเสี่ยงจากการสัก และการเจาะร่างกาย ควรใช้บริการจากร้านที่มีมาตรฐาน มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อ  และผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
    • เสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมันอิ่มตัว และน้ำตาล หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และสุขภาพตับ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ไวรัสตับอักเสบซีเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายตับโดยไม่มีอาการในช่วงแรก ทำให้หลายคนตรวจพบโรคในระยะท้ายที่รักษายากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยาต้านไวรัส Direct-Acting Antivirals (DAAs) ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    หากคุณ หรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบซี อย่ารอช้า! ควรเข้ารับการตรวจเพื่อปกป้องสุขภาพตับของคุณ

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Hepatitis C Information.
      Offers detailed information on Hepatitis C transmission, prevention, and treatment guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hepatitis/hcv/index.htm
    • World Health Organization (WHO). Hepatitis C Fact Sheet.
      Provides a global overview of Hepatitis C, including its impact and prevention strategies. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hepatitis-c
    • MedlinePlus. Hepatitis C.
      A consumer-friendly resource covering causes, symptoms, and treatment options for Hepatitis C. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/hepatitisc.html
    • กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซี.
      แหล่งข้อมูลจากภาครัฐที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจาย อาการและแนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.ddc.moph.go.th/
    • มูลนิธิสุขภาพตับแห่งประเทศไทย (Thai Liver Foundation). ข้อมูลไวรัสตับอักเสบซี.
      ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในบริบทของสุขภาพตับ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thailiverfoundation.org
  • โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจาก ไวรัสฝีดาษลิง ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้ทรพิษ แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะไม่รุนแรงเท่าฝีดาษคน (ไข้ทรพิษ) ซึ่งถูกกำจัดไปแล้วจากโลกนี้ แต่ไวรัสชนิดนี้ยังคงแพร่กระจาย และสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

    โรคนี้เป็น โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic disease) ซึ่งเดิมพบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงยุโรป อเมริกา และเอเชีย เนื่องจาก โรคฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ และมีความสัมพันธ์กับการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โรคนี้จึงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดนอกทวีปแอฟริกา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร?

    โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคที่เกิดจาก ไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox Virus – MPXV) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้ทรพิษ (Smallpox หรือ Variola Virus) แม้ว่าฝีดาษลิงจะไม่รุนแรงเท่าฝีดาษคน (ไข้ทรพิษ) ซึ่งถูกกำจัดไปแล้วจากโลกนี้ แต่ไวรัสชนิดนี้ยังคงแพร่กระจาย และสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

    ลักษณะของโรคฝีดาษลิง

    • สามารถติดต่อได้ทั้งจาก สัตว์สู่คน และ คนสู่คน
    • ผู้ติดเชื้อมักมีอาการคล้ายกับไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า
    • พบมากในสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ (Rodents) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิง
    • สามารถแพร่เชื้อผ่าน การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มน้ำ หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ และคนที่ติดเชื้อ

    ฝีดาษลิงไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ แต่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงปี 2022 เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในหลายประเทศที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อน

    อาการของโรคฝีดาษลิง

    อาการของฝีดาษลิงมักเกิดขึ้นภายใน 5-21 วันหลังจากได้รับเชื้อ (ระยะฟักตัว) โดยอาการสามารถแบ่งเป็น 2 ระยะหลัก คือ

    • ระยะเริ่มต้น (Prodromal stage) ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น
      • มีไข้สูง (38°C ขึ้นไป)
      • ปวดศีรษะ
      • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และข้อ
      • อ่อนเพลีย
      • ต่อมน้ำเหลืองบวม (แตกต่างจากไข้ทรพิษที่มักไม่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม)
    • ระยะผื่น และตุ่มน้ำ (Rash stage) อาการสำคัญของฝีดาษลิงคือ ตุ่มน้ำ และตุ่มหนองบนผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ โดยจะมีลำดับการพัฒนาดังนี้
      • เริ่มจากผื่นแดงเล็ก ๆ
      • กลายเป็นตุ่มนูนที่มีน้ำขุ่น
      • พัฒนาเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นแผล
      • เกิดสะเก็ดแห้ง และหลุดลอกออก
      • ผื่นมักเกิดขึ้นบริเวณ ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อวัยวะเพศ และลำตัว และอาจพบในบริเวณที่สัมผัสเชื้อโดยตรง
      • อาการของโรคฝีดาษลิงมักกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ และสามารถหายเองได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง

    การแพร่เชื้อของโรคฝีดาษลิง

    ฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

    • การสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ
      • การสัมผัสแผล หรือตุ่มหนองของผู้ติดเชื้อ
      • การสัมผัสของเหลวจากตุ่มพุพอง เช่น น้ำเหลือง หรือน้ำหนอง
    • การแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่ง และละอองฝอยน้ำลาย
      • การไอ จาม หรือพูดคุยในระยะใกล้
      • การจูบ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
    • การสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ
      • ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ที่มีสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
    การรักษาโรคฝีดาษลิงpng

    การรักษาโรคฝีดาษลิง

    ปัจจุบันยังไม่มี ยารักษาฝีดาษลิงโดยเฉพาะ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง โดยแนวทางการรักษาประกอบด้วย

    • การรักษาตามอาการ
      • ลดไข้ ด้วยพาราเซตามอล
      • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
      • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • ยาต้านไวรัส ในบางกรณี แพทย์อาจให้ ยาต้านไวรัส Tecovirimat (TPOXX) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    • การดูแลแผล หลีกเลี่ยงการแกะตุ่มหนอง และใช้ครีมฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

    การป้องกันโรคฝีดาษลิง

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ผื่น หรือตุ่มหนองของผู้ที่มีอาการ

     และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เครื่องนอน เสื้อผ้า

    • ป้องกันตนเองจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โรคฝีดาษลิงมีรายงานการแพร่กระจายในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) แต่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศได้ การใช้ ถุงยางอนามัย อาจช่วยลดความเสี่ยงแต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
    • ล้างมือเป็นประจำ ล้างมือด้วยสบู่ และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเมื่อไม่มีน้ำ และสบู่
    • รับวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง ปัจจุบันมี วัคซีน JYNNEOS (MVA-BN) และ ACAM2000 ที่ใช้ป้องกันฝีดาษลิง ซึ่งวัคซีนนี้สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการได้

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คน และคนสู่คนได้ การป้องกันโรคนี้สามารถทำได้โดย หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ล้างมือบ่อย ๆ และฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง หากคุณมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษา และลดการแพร่เชื้อ

    การเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถควบคุมโรค และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ในอนาคต

  • รู้ทันอาการคันในที่ลับ : ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาให

    รู้ทันอาการคันในที่ลับ : ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาให

    อาการคันในที่ลับ หรือบริเวณอวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหา นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว อาการนี้ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ร้ายแรง หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษา

    รู้ทันอาการคันในที่ลับ ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาใหญ่

    อาการคันในที่ลับ คืออะไร?

    อาการคันในที่ลับ หมายถึง อาการระคายเคืองหรือคันที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การแพ้หรือการระคายเคืองเล็กน้อย ไปจนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) หรือปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน

    สาเหตุของอาการคันในที่ลับ

    • การระคายเคืองหรือแพ้
      • การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น สบู่ น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้น หรือผงซักฟอกที่มีสารเคมีแรง
      • การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือใช้ชุดชั้นในที่ทำจากวัสดุไม่ระบายอากาศ
    • การติดเชื้อทางผิวหนัง
      • เชื้อรา: การติดเชื้อราที่บริเวณจุดซ่อนเร้น เช่น การติดเชื้อ Candida albicans มักเกิดจากความอับชื้น
      • แบคทีเรีย: การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น แบคทีเรียวาไจนาลิส (Bacterial Vaginosis) ในผู้หญิง
      • หิดหรือเหา: การติดเชื้อปรสิตที่บริเวณอวัยวะเพศ
    • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI)
      • หนองในเทียม หรือ หนองในแท้
      • เริมที่อวัยวะเพศ: ทำให้เกิดตุ่มใสที่ทำให้คัน และเจ็บ
      • หูดหงอนไก่: มักมีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอกเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศ
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
      • พบได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจแห้ง และคันได้
    • ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพผิวหนัง
      • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
      • โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema)

    การดูแล และจัดการเบื้องต้น

    • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และปราศจากน้ำหอม หรือเลือกชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย และระบายอากาศได้ดี
    • รักษาความสะอาด ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงในบริเวณจุดซ่อนเร้น
    • ลดความอับชื้น สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวม และระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าเปียกเป็นเวลานาน
    • งดเกา การเกาบริเวณที่คันอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือระคายเคืองมากขึ้น
    • ปรึกษาแพทย์ หากอาการไม่หายไปภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการร่วม เช่น แสบ เจ็บ ตุ่มหรือผื่นผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
    การป้องกันอาการคันในที่ลับ

    การป้องกันอาการคันในที่ลับ

    • รักษาสุขอนามัยส่วนตัว ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำอุ่นวันละ 1-2 ครั้ง และเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
    • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม และสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • ดูแลสุขภาพโดยรวม รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    อาการคันในที่ลับเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ การดูแลสุขอนามัยส่วนตัว หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการดังกล่าวได้ หากมีอาการผิดปกติที่ไม่หายไปในระยะเวลาสั้นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save