วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคติดต่อที่มีผลกระทบต่อเซลล์ตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง และมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม โดยไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในร่างกาย และการสัมผัสของเหลวของผู้ติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ การป้องกัน และการรับมือไวรัสตับอักเสบบีอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการติดเชื้อที่เกิดจาก Hepatitis B Virus (HBV) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเซลล์ตับ  และอาจก่อให้เกิดการอักเสบในตับ

“Quicky"

การติดเชื้อนี้มีสองประเภทหลัก ได้แก่

  • การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute Hepatitis B)
    • เกิดขึ้นภายในไม่กี่เดือนหลังจากได้รับเชื้อ
    • บางคนสามารถฟื้นตัว และสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง
    • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง
  • การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B)
    • เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปได้
    • มีโอกาสนำไปสู่ภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และภาวะตับล้มเหลว

การแพร่กระจายของไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถแพร่กระจายผ่านทาง เลือด และของเหลวในร่างกาย เช่น

“ChatLove2test"
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เช่น ในผู้ใช้ยาเสพติด
  • การสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อผ่านบาดแผล
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในขณะคลอด
  • การใช้เครื่องมือแพทย์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น เข็มสักหรืออุปกรณ์ทำเล็บ

อาการของไวรัสตับอักเสบบี

อาการของไวรัสตับอักเสบบีแตกต่างกันไปตามระยะของโรค โดยบางคนอาจไม่มีอาการแสดงเลย ทำให้การแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย

อาการทั่วไปที่อาจพบได้ ได้แก่

“PrEPLove2test"
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • ตาและผิวหนังเป็นสีเหลือง (ดีซ่าน)
  • ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระสีซีด
  • ปวดบริเวณช่องท้องข้างขวาบน (ตำแหน่งของตับ)

หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบีเป็นกระบวนการที่สำคัญในการตรวจหาการติดเชื้อ และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่ในร่างกายได้โดยไม่มีอาการเป็นเวลานาน ดังนั้นการตรวจหาเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ผู้ที่ได้รับเลือดหรืออวัยวะจากผู้อื่น และผู้ที่มีประวัติครอบครัวติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • การตรวจเลือดเพื่อหาไวรัสตับอักเสบบี การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบีทำได้โดยการ ตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งสามารถระบุสถานะการติดเชื้อของผู้ป่วยได้โดยพิจารณาผลจากตัวบ่งชี้ทางชีวเคมีในเลือด ดังนี้
    • การตรวจหาโปรตีนของไวรัส (HBsAg – Hepatitis B Surface Antigen) เป็นการตรวจหาโปรตีนที่อยู่บนพื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี
    • การตรวจหาแอนติบอดีต่อโปรตีนของไวรัส (Anti-HBs – Hepatitis B Surface Antibody) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านไวรัส
    • การตรวจหาแอนติบอดีต่อแอนติเจนของแกนไวรัส (Anti-HBc – Hepatitis B Core Antibody) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเคยสัมผัสไวรัสตับอักเสบบี
    • การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (HBV DNA Test – Viral Load Test) เป็นการตรวจหา DNA ของไวรัสตับอักเสบบีโดยตรง ใช้เพื่อประเมินระดับการติดเชื้อว่ามีปริมาณไวรัสสูงหรือต่ำในร่างกาย ใช้ติดตามผลของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
    • การตรวจหาแอนติเจน e ของไวรัส (HBeAg – Hepatitis B e-Antigen) ใช้ในการประเมินว่าไวรัสกำลังเพิ่มจำนวนอยู่หรือไม่
  • การตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสียหายของตับ นอกจากการตรวจหาไวรัสโดยตรง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูความเสียหายของตับ ได้แก่
    • การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Test – LFTs) เป็นการตรวจวัดค่าของเอนไซม์ และโปรตีนในตับ เช่น ALT (Alanine Aminotransferase) และ AST (Aspartate Aminotransferase) หากค่าของเอนไซม์เหล่านี้สูงขึ้น อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบของตับ
    • การตรวจอัลตราซาวด์ตับ (Liver Ultrasound) ใช้คลื่นเสียงเพื่อดูโครงสร้างของตับ หรือใช้เพื่อตรวจหาภาวะตับแข็งหรือเนื้องอกในตับ
    • การตรวจ FibroScan (Elastography) เป็นการตรวจหาภาวะตับแข็งโดยใช้คลื่นเสียงหรือเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้เข็มเจาะเหมือนการตัดชิ้นเนื้อตับ
    • การตัดชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) ใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบว่าตับมีความเสียหายรุนแรงแค่ไหน โดยใช้เข็มเจาะตับเพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ

  • การติดเชื้อเฉียบพลัน ในหลายกรณี ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา และแพทย์อาจแนะนำให้พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
  • การติดเชื้อเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาต้านไวรัส เช่น Tenofovir หรือ Entecavir และติดตามสุขภาพของตับเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ

หมายเหตุ: แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกจากร่างกายได้ 100% แต่การใช้ยาสามารถควบคุมปริมาณไวรัส และลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้

วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด 100% การป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่

  • รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี โดยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กแรกเกิด หรือหากยังไม่เคยฉีดสามารถฉีดได้ในภายหลัง ซึ่งวัคซีนมีทั้งหมด 3 เข็ม ซึ่งให้ภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
  • ตรวจเลือดก่อนตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี หากพบว่าติดเชื้อ ทารกที่เกิดมาสามารถรับวัคซีนทันทีหลังคลอดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องมือที่ปลอดภัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล คลินิกทำฟัน หรือร้านสักถูกฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม

การใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม โดยคำแนะนำสำหรับการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ได้แก่

  • รับการตรวจติดตามสุขภาพตับเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารแปรรูป
  • แจ้งสถานะสุขภาพให้คู่ครองทราบ เพื่อให้สามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคร้ายที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรอง และหากพบว่าติดเชื้อ ควรเข้ารับการรักษาและติดตามสุขภาพของตับอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save