ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลกระทบต่อตับ โดยไวรัสจะทำให้เกิดการอักเสบ และทำลายเซลล์ตับ หากไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ได้ สิ่งที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบซีเป็นอันตราย คือ อาการของโรคมักไม่แสดงออกในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายคนไม่รู้ตัวจนกว่าโรคจะลุกลามไปสู่ระยะเรื้อรัง

ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตับ และสามารถนำไปสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้แพร่กระจายผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น ผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอด

“Quicky"

อันตรายของไวรัสตับอักเสบซี

  • ประมาณ 75-85% ของผู้ที่ติดเชื้อ HCV จะพัฒนาเป็น โรคตับเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
  • ส่วนใหญ่ ไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อมักไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
  • เป็นสาเหตุหลักของ การปลูกถ่ายตับ ทั่วโลก

ชนิดของไวรัสตับอักเสบซี (HCV Genotypes)

ไวรัสตับอักเสบซีมีความหลากหลายทางพันธุกรรม และสามารถแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลัก (Genotypes 1-6) โดยแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อ อัตราการตอบสนองต่อยาต้านไวรัส และแนวทางการรักษา

รายละเอียดของแต่ละสายพันธุ์ HCV

“ChatLove2test"
  • Genotype 1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ และยุโรป มีความทนต่อการรักษาสูง แต่ปัจจุบันยาต้านไวรัสแบบใหม่สามารถรักษาให้หายได้สูงถึง 95-99%
  • Genotype 2 พบมากในแถบยุโรป และอเมริกาใต้ ตอบสนองต่อการรักษาดีกว่า Genotype 1
  • Genotype 3 พบมากในเอเชียใต้ ออสเตรเลีย และบางส่วนของยุโรป มีความสัมพันธ์กับ ไขมันพอกตับ และอาจทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังเร็วขึ้น
  • Genotype 4 พบมากในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และอียิปต์ มีความทนต่อการรักษาคล้าย Genotype 1 แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสแบบใหม่
  • Genotype 5 พบมากในแอฟริกาใต้ และค่อนข้างพบได้น้อยในประเทศอื่น ๆ
  • Genotype 6 พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย เวียดนาม และจีน มีความซับซ้อนด้านพันธุกรรมแต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสที่ทันสมัย

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทางเลือดโดยตรง เช่น

  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน พบมากในผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด
  • การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ แม้ว่าปัจจุบันมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวดแล้วก็ตาม
  • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน หรืออุปกรณ์ทำเล็บที่ปนเปื้อนเลือด
  • การสักและการเจาะร่างกาย หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่พบได้น้อย
  •  การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แม้ว่าความเสี่ยงจะต่ำกว่าการติดเชื้อเอชไอวี แต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้

อาการของไวรัสตับอักเสบซี

อาการในระยะเฉียบพลัน (Acute Hepatitis C)

ผู้ติดเชื้อประมาณ 20-30% อาจแสดงอาการภายใน 2-12 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ ซึ่งอาจรวมถึง

“PrEPLove2test"
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณตับ
  • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
  • ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีซีด

อาการในระยะเรื้อรัง (Chronic Hepatitis C)

มากกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อ จะกลายเป็นโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง โดย อาจไม่มีอาการเป็นเวลาหลายปี แต่ไวรัสยังคงทำลายตับอย่างต่อเนื่อง เมื่อโรคลุกลามไปสู่ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ อาการที่อาจพบ ได้แก่

  • ท้องมาน ขาบวม
  • เลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย
  • สมองเสื่อมจากภาวะตับวาย

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี

หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองทันที ซึ่งสามารถทำได้โดย

  • Anti-HCV Test ตรวจหาแอนติบอดีต่อไวรัสตับอักเสบซี เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
  • HCV RNA Test (PCR Test) ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
  • การตรวจระดับเอนไซม์ตับ (Liver Function Test – LFTs) เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ
  • Fibroscan หรือ Liver Biopsy เพื่อตรวจภาวะพังผืด และความเสียหายของตับ
การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

ปัจจุบัน การรักษาไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีประสิทธิภาพสูง และสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยยาต้านไวรัสกลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแบบเดิม

  • การรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs) เป็นยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้สามารถรักษาหายได้ในระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ DAAs มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดไวรัสได้ถึง 95% ของผู้ที่ติดเชื้อ ตัวอย่างยากลุ่มนี้ ได้แก่ Sofosbuvir, Ledipasvir, Velpatasvir และ Glecaprevir/Pibrentasvir มีผลข้างเคียงต่ำกว่ายาอินเตอร์เฟียรอนที่เคยใช้ในอดีต
  • การติดตามผลการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย DAAs ต้องเข้ารับ การตรวจวัดระดับ HCV RNA ในเลือด เพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดหมดไป หากพบว่ามี ภาวะตับแข็ง หรือโรคตับเรื้อรัง แพทย์อาจให้การดูแลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยา และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อตับ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพตับ

แนวทางการป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

แม้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดที่ติดเชื้อ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น ในกรณีที่ต้องปฐมพยาบาล
  • ป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งเมื่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ทราบสถานะสุขภาพของคู่นอน  หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดแผล เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ไม่ใช้มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น
  • ตรวจสุขภาพ และคัดกรองเป็นประจำ หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่เคยได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี 1992 หรือเคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HCV เป็นระยะ และหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก
  • ระวังความเสี่ยงจากการสัก และการเจาะร่างกาย ควรใช้บริการจากร้านที่มีมาตรฐาน มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อ  และผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
  • เสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมันอิ่มตัว และน้ำตาล หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และสุขภาพตับ

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

ไวรัสตับอักเสบซีเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายตับโดยไม่มีอาการในช่วงแรก ทำให้หลายคนตรวจพบโรคในระยะท้ายที่รักษายากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยาต้านไวรัส Direct-Acting Antivirals (DAAs) ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

หากคุณ หรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบซี อย่ารอช้า! ควรเข้ารับการตรวจเพื่อปกป้องสุขภาพตับของคุณ

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Hepatitis C Information.
    Offers detailed information on Hepatitis C transmission, prevention, and treatment guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hepatitis/hcv/index.htm
  • World Health Organization (WHO). Hepatitis C Fact Sheet.
    Provides a global overview of Hepatitis C, including its impact and prevention strategies. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hepatitis-c
  • MedlinePlus. Hepatitis C.
    A consumer-friendly resource covering causes, symptoms, and treatment options for Hepatitis C. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/hepatitisc.html
  • กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซี.
    แหล่งข้อมูลจากภาครัฐที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจาย อาการและแนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.ddc.moph.go.th/
  • มูลนิธิสุขภาพตับแห่งประเทศไทย (Thai Liver Foundation). ข้อมูลไวรัสตับอักเสบซี.
    ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในบริบทของสุขภาพตับ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thailiverfoundation.org

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save