Author: end hiv

  • โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจาก ไวรัสฝีดาษลิง ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้ทรพิษ แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะไม่รุนแรงเท่าฝีดาษคน (ไข้ทรพิษ) ซึ่งถูกกำจัดไปแล้วจากโลกนี้ แต่ไวรัสชนิดนี้ยังคงแพร่กระจาย และสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

    โรคนี้เป็น โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic disease) ซึ่งเดิมพบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงยุโรป อเมริกา และเอเชีย เนื่องจาก โรคฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ และมีความสัมพันธ์กับการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โรคนี้จึงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดนอกทวีปแอฟริกา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร? อาการ วิธีป้องกัน และการรักษา

    โรคฝีดาษลิง คืออะไร?

    โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคที่เกิดจาก ไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox Virus – MPXV) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้ทรพิษ (Smallpox หรือ Variola Virus) แม้ว่าฝีดาษลิงจะไม่รุนแรงเท่าฝีดาษคน (ไข้ทรพิษ) ซึ่งถูกกำจัดไปแล้วจากโลกนี้ แต่ไวรัสชนิดนี้ยังคงแพร่กระจาย และสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

    ลักษณะของโรคฝีดาษลิง

    • สามารถติดต่อได้ทั้งจาก สัตว์สู่คน และ คนสู่คน
    • ผู้ติดเชื้อมักมีอาการคล้ายกับไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า
    • พบมากในสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ (Rodents) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิง
    • สามารถแพร่เชื้อผ่าน การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มน้ำ หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ และคนที่ติดเชื้อ

    ฝีดาษลิงไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ แต่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงปี 2022 เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในหลายประเทศที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อน

    อาการของโรคฝีดาษลิง

    อาการของฝีดาษลิงมักเกิดขึ้นภายใน 5-21 วันหลังจากได้รับเชื้อ (ระยะฟักตัว) โดยอาการสามารถแบ่งเป็น 2 ระยะหลัก คือ

    • ระยะเริ่มต้น (Prodromal stage) ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น
      • มีไข้สูง (38°C ขึ้นไป)
      • ปวดศีรษะ
      • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และข้อ
      • อ่อนเพลีย
      • ต่อมน้ำเหลืองบวม (แตกต่างจากไข้ทรพิษที่มักไม่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม)
    • ระยะผื่น และตุ่มน้ำ (Rash stage) อาการสำคัญของฝีดาษลิงคือ ตุ่มน้ำ และตุ่มหนองบนผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ โดยจะมีลำดับการพัฒนาดังนี้
      • เริ่มจากผื่นแดงเล็ก ๆ
      • กลายเป็นตุ่มนูนที่มีน้ำขุ่น
      • พัฒนาเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นแผล
      • เกิดสะเก็ดแห้ง และหลุดลอกออก
      • ผื่นมักเกิดขึ้นบริเวณ ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อวัยวะเพศ และลำตัว และอาจพบในบริเวณที่สัมผัสเชื้อโดยตรง
      • อาการของโรคฝีดาษลิงมักกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ และสามารถหายเองได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง

    การแพร่เชื้อของโรคฝีดาษลิง

    ฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

    • การสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ
      • การสัมผัสแผล หรือตุ่มหนองของผู้ติดเชื้อ
      • การสัมผัสของเหลวจากตุ่มพุพอง เช่น น้ำเหลือง หรือน้ำหนอง
    • การแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่ง และละอองฝอยน้ำลาย
      • การไอ จาม หรือพูดคุยในระยะใกล้
      • การจูบ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
    • การสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ
      • ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ที่มีสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
    การรักษาโรคฝีดาษลิงpng

    การรักษาโรคฝีดาษลิง

    ปัจจุบันยังไม่มี ยารักษาฝีดาษลิงโดยเฉพาะ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง โดยแนวทางการรักษาประกอบด้วย

    • การรักษาตามอาการ
      • ลดไข้ ด้วยพาราเซตามอล
      • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
      • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • ยาต้านไวรัส ในบางกรณี แพทย์อาจให้ ยาต้านไวรัส Tecovirimat (TPOXX) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    • การดูแลแผล หลีกเลี่ยงการแกะตุ่มหนอง และใช้ครีมฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

    การป้องกันโรคฝีดาษลิง

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ผื่น หรือตุ่มหนองของผู้ที่มีอาการ

     และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เครื่องนอน เสื้อผ้า

    • ป้องกันตนเองจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โรคฝีดาษลิงมีรายงานการแพร่กระจายในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) แต่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศได้ การใช้ ถุงยางอนามัย อาจช่วยลดความเสี่ยงแต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
    • ล้างมือเป็นประจำ ล้างมือด้วยสบู่ และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเมื่อไม่มีน้ำ และสบู่
    • รับวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง ปัจจุบันมี วัคซีน JYNNEOS (MVA-BN) และ ACAM2000 ที่ใช้ป้องกันฝีดาษลิง ซึ่งวัคซีนนี้สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการได้

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คน และคนสู่คนได้ การป้องกันโรคนี้สามารถทำได้โดย หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ล้างมือบ่อย ๆ และฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง หากคุณมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษา และลดการแพร่เชื้อ

    การเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถควบคุมโรค และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ในอนาคต

  • รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณรอบ ๆ ในบางกรณีอาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวม และเกิดเป็นฝีหนอง โรคนี้พบมากในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง และในกลุ่มผู้ที่มีคู่นอนหลายคนโดยไม่ใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสม แม้ว่าโรคแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงขึ้น ดังนั้น การป้องกัน และรู้เท่าทันโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    โรคแผลริมอ่อน คืออะไร?

    โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศ และสามารถแพร่กระจายไปยังคู่นอนได้ง่ายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสโดยตรงกับแผลที่ติดเชื้อ

    โรคนี้สามารถพบได้ใน ทั้งชาย และหญิง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    การแพร่กระจายของโรคแผลริมอ่อน

    โรคแผลริมอ่อนแพร่กระจายผ่าน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อ

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (ช่องคลอด ทวารหนัก หรือออรัลเซ็กซ์)
    • การสัมผัสแผลโดยตรง เช่น การสัมผัสแผลที่มีเชื้อโดยไม่ได้ล้างมือ และนำไปสัมผัสส่วนอื่นของร่างกาย
    • จากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอด (กรณีที่มารดามีแผลริมอ่อน และคลอดทางช่องคลอด)

    อาการของโรคแผลริมอ่อน

    อาการของโรคแผลริมอ่อนมักปรากฏภายใน 3-10 วัน หลังจากได้รับเชื้อ โดยลักษณะอาการหลัก ๆ มีดังนี้

    • แผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศ
      • ลักษณะของแผลมีขอบนูนแดง และเป็นหนอง
      • แผลมักมีลักษณะ เจ็บปวด และอาจมีขนาดแตกต่างกันไป
      • แผลสามารถเกิดขึ้นเป็นแผลเดียวหรือหลายแผลกระจายตัว
      • อาจมีเลือดซึมออกมาจากแผลเมื่อสัมผัส
    • ต่อมน้ำเหลืองโต และอักเสบ
      • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบอาจ บวมโต เจ็บปวด และเกิดเป็นฝีหนอง
      • ฝีหนองอาจแตกออก ทำให้มีของเหลวไหลออกมา
      • ในบางกรณี ต่อมน้ำเหลืองอักเสบอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดในการเดินหรือเคลื่อนไหว
    • อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วม
      • มีไข้ต่ำ ๆ
      • รู้สึกไม่สบายตัว
      • อาการปวดหรือเจ็บแผลขณะปัสสาวะหรือขณะมีเพศสัมพันธ์

    หากไม่รับการรักษาอย่างถูกต้อง แผลอาจลุกลาม และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงขึ้น

    ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลริมอ่อน

    หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคแผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น เช่น

    • แผลลุกลาม และติดเชื้อแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี แผลอาจเกิดการอักเสบรุนแรงจนเป็นแผลเรื้อรัง
    • การติดเชื้อเอชไอวีง่ายขึ้น ผู้ที่มีแผลริมอ่อนมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติในการติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากแผลเปิดทำให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
    • เกิดแผลเป็น หรือความผิดปกติของอวัยวะเพศ หากแผลหายช้า หรือมีการอักเสบซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดพังผืด และรอยแผลเป็นที่อวัยวะเพศ
    • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบจนเป็นฝีหนองขนาดใหญ่ ฝีหนองที่ขาหนีบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง และทำให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง
    แนวทางการรักษาโรคแผลริมอ่อน

    แนวทางการรักษาโรคแผลริมอ่อน

    โรคแผลริมอ่อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi อย่างมีประสิทธิภาพ

    • การใช้ยาปฏิชีวนะ
      • Azithromycin ขนาด 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
      • Ceftriaxone ขนาด 250 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
      • Erythromycin ขนาด 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
    • การดูแลแผล
      • ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดทุกวัน
      • หลีกเลี่ยงการแกะแผลเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
      • หากมีฝีหนองที่ขาหนีบ อาจต้องให้แพทย์ทำการระบายหนองออก
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา ควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะแน่ใจว่าโรคหายขาดและไม่มีการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

    วิธีป้องกันโรคแผลริมอ่อน

    เนื่องจากโรคนี้แพร่กระจายผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก การป้องกันที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ โดยสามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงแผลริมอ่อน
    • ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุก 6 เดือน หรือบ่อยขึ้นหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
    • ห ลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล หากพบว่าคู่ของคุณมีแผลผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการวินิจฉัย และรักษา
    • ดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศ ล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำอุ่น ละสบู่อ่อน ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถป้องกันได้หากมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย การใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และมีการดูแลสุขอนามัยที่ดี จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ หากพบอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจรักษาทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าเดิม

  • จัดการโรคหูดข้าวสุก รู้ลึกถึงสาเหตุ และวิธีการรักษา

    จัดการโรคหูดข้าวสุก รู้ลึกถึงสาเหตุ และวิธีการรักษา

    โรคหูดข้าวสุก เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส Molluscum Contagiosum Virus (MCV) ซึ่งส่งผลให้เกิดตุ่มหรือผื่นบริเวณผิวหนัง โรคนี้พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็ก ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน

    แม้ว่าโรคหูดข้าวสุกจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของตุ่มหูดไปยังบริเวณอื่นของร่างกาย หรือแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย ดังนั้นการทำความเข้าใจ สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้สามารถจัดการโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    จัดการโรคหูดข้าวสุก รู้ลึกถึงสาเหตุ และวิธีการรักษา

    โรคหูดข้าวสุก คืออะไร?

    โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus (MCV) ซึ่งอยู่ในกลุ่มไวรัส Poxvirus ลักษณะเด่นของโรคนี้คือ ตุ่มนูนขนาดเล็ก สีขาวหรือชมพู มีลักษณะมันเงา และมีจุดตรงกลางคล้ายหลุม

    เชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสโดยตรงจากคนสู่คน หรือการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน และเครื่องใช้ในห้องน้ำ นอกจากนี้ ยังสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่

    สาเหตุของโรคหูดข้าวสุก

    ไวรัส Molluscum Contagiosum แพร่กระจายผ่าน การสัมผัสโดยตรง หรือ สัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ ได้แก่

    • การสัมผัสโดยตรง: เช่น การสัมผัสตุ่มของผู้ติดเชื้อ หรือเกาบริเวณที่มีตุ่มแล้วสัมผัสร่างกายส่วนอื่น
    • การมีเพศสัมพันธ์: ทำให้เชื้อแพร่กระจายในบริเวณอวัยวะเพศ
    • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว มีดโกน หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่มีการสัมผัสผิวหนัง
    • การว่ายน้ำในสระสาธารณะ: แม้ว่าการแพร่เชื้อผ่านน้ำจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่การสัมผัสพื้นผิวรอบๆ สระที่ปนเปื้อนเชื้ออาจเป็นปัจจัยเสี่ยง

    กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อสูง ได้แก่

    • เด็กที่ชอบเล่นสัมผัสกับพื้นผิว หรือสิ่งของที่มีเชื้อ
    • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
    • นักกีฬาที่มีการสัมผัสผิวหนังกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เช่น มวยปล้ำ ยูโด

    อาการของโรคหูดข้าวสุก

    • ลักษณะของตุ่มหูด
      • ตุ่มเล็กๆ สีขาวหรือชมพู มันวาว และมีจุดบุ๋มตรงกลาง
      • มีขนาดตั้งแต่ 2-5 มิลลิเมตร และอาจใหญ่ขึ้นได้ในบางกรณี
      • มักไม่เจ็บ แต่บางครั้งอาจคันหรือระคายเคือง
    • บริเวณที่พบบ่อย
      • ในเด็ก: มักเกิดที่ใบหน้า คอ แขน ขา หรือบริเวณลำตัว
      • ในผู้ใหญ่: มักพบที่อวัยวะเพศ ท้อง ต้นขา หรือก้น (จากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์)
      • ในผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ: ตุ่มอาจมีขนาดใหญ่ขึ้น กระจายเป็นบริเวณกว้าง และหายช้ากว่าปกติ

    การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยอาศัย

    • การตรวจร่างกาย: สังเกตลักษณะของตุ่มหูด
    • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: แพทย์อาจขูดเซลล์จากตุ่มหูดเพื่อตรวจหาไวรัส
    • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และต้องแยกโรคจากภาวะอื่น เช่น โรคเริม หรือหูด HPV
    วิธีการรักษาโรคหูดข้าวสุก

    วิธีการรักษาโรคหูดข้าวสุก

    แม้ว่าโรคหูดข้าวสุกสามารถหายได้เองภายใน 6-12 เดือนในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติ แต่การรักษาสามารถช่วยลดระยะเวลาการติดเชื้อ และป้องกันการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย

    • การรักษาด้วยยา
      • ครีมยา Podophyllotoxin หรือ Imiquimod ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายไวรัส
      • กรด TCA (Trichloroacetic Acid) ใช้แต้มที่ตุ่มเพื่อทำให้แห้ง และหลุดออก
      • ยาต้านไวรัส (สำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ) อาจจำเป็นในบางกรณี
    • การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
      • การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวในการทำลายตุ่มหูด
      • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): ใช้พลังงานไฟฟ้าเผาทำลายตุ่ม
      • การขูดออก (Curettage): ใช้เครื่องมือขูดออกจากผิวหนัง (แนะนำทำโดยแพทย์เพื่อลดการระคายเคือง)
    • การรักษาแบบธรรมชาติ (อาการไม่รุนแรง)
      • น้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil): มีคุณสมบัติต้านไวรัส และช่วยให้ตุ่มหูดแห้งเร็วขึ้น
      • น้ำมันหอมระเหยจากกระเทียม: มีฤทธิ์ต้านไวรัส และช่วยลดอาการอักเสบ
      • น้ำผึ้งมานูก้า: มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ และช่วยให้ผิวหนังสมานตัวเร็วขึ้น

    การป้องกันโรคหูดข้าวสุก

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มหูดของผู้อื่น หรือหลีกเลี่ยงการเกาตุ่มของตนเอง
    • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือมีดโกน
    • ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสบริเวณที่เป็นตุ่มหูด
    • ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ แม้ถุงยางไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยง
    • หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือซาวน่าในที่สาธารณะ หากมีตุ่มหูดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหูดข้าวสุกเป็นโรคติดเชื้อทางผิวหนังที่เกิดจากไวรัส Molluscum Contagiosum ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายหากไม่มีการดูแลที่เหมาะสม แม้ว่าโรคนี้มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ควรได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และลดระยะเวลาของโรค หากคุณพบตุ่มผิดปกติที่มีลักษณะคล้ายหูดข้าวสุก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม

  • โรคฝีมะม่วง คืออะไร? สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

    โรคฝีมะม่วง คืออะไร? สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

    โรคฝีมะม่วง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดที่ก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ เป็นโรคที่พบได้น้อยในอดีต แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย (MSM) และผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคฝีมะม่วงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น การเกิดแผลเป็นที่อวัยวะเพศ การอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง และภาวะบวมเรื้อรัง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จะช่วยให้สามารถรับมือได้อย่างถูกต้องและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ

    โรคฝีมะม่วง คืออะไร? สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

    โรคฝีมะม่วง คืออะไร?

    โรคฝีมะม่วง  (Lymphogranuloma Venereum – LGV) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซีโรไทป์ L1, L2 และ L3 ซึ่งแตกต่างจากเชื้อชนิดที่ทำให้เกิดหนองในเทียมทั่วไป แบคทีเรียชนิดนี้จะเข้าไปทำลายต่อมน้ำเหลือง และก่อให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น

    โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

    • ระยะเริ่มต้น (Primary Stage) – มีแผลเล็กๆ ที่อวัยวะเพศ หรือทางทวารหนัก มักไม่เจ็บ และหายเอง
    • ระยะที่สอง (Secondary Stage) – มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมโต กดเจ็บ และเป็นฝีหนอง
    • ระยะเรื้อรัง (Tertiary Stage) – เกิดพังผืดที่อวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนัก ทำให้เกิดอาการอุดตัน และบวมถาวร

    สาเหตุ และการติดต่อของโรคฝีมะม่วง

    เชื้อ Chlamydia trachomatis ซีโรไทป์ L1, L2 และ L3 สามารถแพร่กระจายผ่าน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก

    ช่องทางการติดเชื้อหลัก ได้แก่

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
    • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งเป็นช่องทางที่พบการติดเชื้อได้มาก
    • การสัมผัสสารคัดหลั่งจากแผลของผู้ติดเชื้อ
    • การใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกัน โดยไม่ได้ทำความสะอาด

    สัญญาณเตือน และอาการของโรคฝีมะม่วง

    อาการของโรคฝีมะม่วงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะของโรค

    • ระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 1)
      • หลังจากรับเชื้อ 3-30 วัน จะมีแผลเล็กๆ ที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
      • แผลมักไม่มีอาการเจ็บ และสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน
      • เนื่องจากแผลหายเร็ว ผู้ป่วยมักไม่สังเกตเห็น
    • ระยะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (ระยะที่ 2)
      • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวมโต เจ็บ และกลายเป็นฝีหนอง
      • อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
      • หากเป็นในกลุ่มชายรักชาย (MSM) ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก อาจมีอาการ ปวดทวารหนัก ถ่ายเป็นเลือด หรือมีหนองออกจากทวารหนัก
    • ระยะเรื้อรัง (ระยะที่ 3)
      • อาจเกิดแผลเป็นที่อวัยวะเพศ ทำให้เกิด ภาวะอุดตันของท่อปัสสาวะหรือทวารหนัก
      • บางรายอาจมีอาการ บวมเรื้อรังที่ขาหนีบหรืออวัยวะเพศ
      • อาจนำไปสู่ ภาวะ Elephantiasis (บวมถาวรคล้ายโรคเท้าช้าง)

    ข้อควรระวัง หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถลุกลาม และทำลายอวัยวะภายในได้ การตรวจหาเชื้อ และรักษาให้เร็วที่สุดจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

    การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง

    การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคฝีมะม่วงได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

    • การตรวจร่างกาย และประวัติทางเพศสัมพันธ์
    • การตรวจหาเชื้อจากแผล หรือต่อมน้ำเหลือง
    • การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อยืนยันเชื้อ Chlamydia trachomatis
    • การตรวจเลือดเพื่อแยกโรคอื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หรือ HIV ที่อาจมีอาการคล้ายกัน

    วิธีรักษาโรคฝีมะม่วง

    โรคฝีมะม่วงสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้

    • การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline 100 mg วันละ 2 ครั้ง นาน 21 วัน หรือ Azithromycin 1 กรัมต่อสัปดาห์ นาน 3 สัปดาห์
    • การรักษาฝีหนอง ในกรณีที่มีฝีหนองขนาดใหญ่ อาจต้อง เจาะระบายหนองออก หากมีการอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง อาจต้องได้รับการรักษาโดยศัลยแพทย์
    • การรักษาผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อน หากเกิดพังผืดหรือภาวะอุดตัน อาจต้องใช้ การผ่าตัดเพื่อเปิดทางเดินปัสสาวะ หรือลำไส้ ในรายที่มีภาวะบวมเรื้อรัง อาจต้องใช้การรักษาด้วย การนวดระบบน้ำเหลืองหรือการบำบัดเฉพาะทาง

    วิธีป้องกันโรคฝีมะม่วง

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
    • เข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
    • หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
    • แจ้งคู่นอนให้เข้ารับการตรวจ และรักษาหากพบว่าติดเชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคฝีมะม่วงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis และสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา อาการในระยะแรกมักไม่มีความเจ็บปวด ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ ซึ่งการวินิจฉัย และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันผลกระทบร้ายแรงได้ หากคุณหรือคู่นอนมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคฝีมะม่วง ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์โดยเร็ว และใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

  • วิธีรับมือโรคหูดหงอนไก่ : ป้องกันก่อนสาย

    วิธีรับมือโรคหูดหงอนไก่ : ป้องกันก่อนสาย

    โรคหูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง และการมีเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคอาจลุกลาม และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง หรือโรคมะเร็งทวารหนักในทั้งชาย และหญิงแม้ว่าโรคนี้อาจไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงในทันที แต่ก็ควรทำความเข้าใจ และป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อปกป้องสุขภาพของตนเอ และคู่นอน

    วิธีรับมือโรคหูดหงอนไก่ ป้องกันก่อนสาย

    โรคหูดหงอนไก่ คืออะไร?

    โรคหูดหงอนไก่ (Genital Warts)  เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ซึ่งมีสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยลักษณะของหูดที่เกิดขึ้นมักมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนเล็กๆ สีชมพู หรือสีเนื้อ มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ และสามารถเกิดขึ้นเป็นกลุ่มหรือกระจายตัวเป็นจุดเล็กๆ

    โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทั้งชาย และหญิง ซึ่งมักพบในบริเวณต่อไปนี้

    • อวัยวะเพศชาย และหญิง
    • ปากช่องคลอด และปากมดลูก
    • ทวารหนัก
    • อวัยวะเพศภายนอก
    • บางครั้งสามารถพบที่ลำคอ และปากได้ในกรณีที่มีการทำออรัลเซ็กซ์กับผู้ที่ติดเชื้อ

    สาเหตุ และการติดต่อของโรคหูดหงอนไก่

    เชื้อ HPV สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังที่ติดเชื้อ โดยมีช่องทางหลักของการติดเชื้อดังนี้:

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน (ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือออรัลเซ็กซ์)
    • การสัมผัสผิวหนังโดยตรง กับบริเวณที่ติดเชื้อ แม้ไม่มีการสอดใส่
    • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือเสื้อผ้า (พบได้น้อย)
    • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ในระหว่างการคลอด

    สิ่งที่ควรทราบ:

    • เชื้อ HPV สามารถอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน โดยไม่แสดงอาการ ทำให้บางคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะของโรค
    • การติดเชื้อ HPV มีความสัมพันธ์กับมะเร็งปากมดลูก มะเร็งอวัยวะเพศ และมะเร็งทวารหนัก

    อาการของโรคหูดหงอนไก่

    อาการของโรคหูดหงอนไก่จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย ในขณะที่บางคนอาจมีหูดขึ้นอย่างชัดเจน โดยอาการทั่วไป ได้แก่:

    • มี ตุ่มนูนเล็กๆ สีชมพู สีเนื้อ หรือสีขาวบริเวณอวัยวะเพศ
    • ตุ่มมีลักษณะคล้าย ดอกกะหล่ำ และอาจมีหลายจุด
    • อาจมีอาการ คัน หรือระคายเคือง บริเวณที่เป็นหูด
    • อาจมี ตกขาวผิดปกติ หรือเลือดออกทางช่องคลอด ในกรณีที่หูดเกิดขึ้นภายใน
    • หากเกิดบริเวณทวารหนัก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือเจ็บขณะขับถ่าย

    หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา หูดอาจขยายใหญ่ขึ้น และอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพทางเพศ และความมั่นใจในตนเอง

    วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่

    วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่

    แม้ว่าเชื้อ HPV ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้โดยตรง แต่สามารถรักษาหูดที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งมีหลายวิธีดังนี้

    • การใช้ยาทาภายนอก แพทย์อาจสั่งยาทาภายนอกเพื่อช่วยกำจัดหูด เช่น Podophyllotoxin (สำหรับผู้ชาย) หรือ Imiquimod (กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กำจัดเชื้อ HPV) โดยห้ามใช้ยาทาเองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง
    • การจี้หูดด้วยความเย็น (Cryotherapy) การใช้ไนโตรเจนเหลวในการแช่แข็งหูด ทำให้หูดหลุดออกไป วิธีนี้ใช้ได้ผลดี และนิยมใช้กับหูดขนาดเล็ก
    • การใช้เลเซอร์ (Laser Therapy) เหมาะสำหรับกรณีที่หูดมีขนาดใหญ่หรืออยู่ในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ภายในปากมดลูก
    • การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) ใช้ไฟฟ้าความร้อนเผาทำลายหูด วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
    • การผ่าตัดเอาหูดออก หากหูดมีขนาดใหญ่มากหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น การผ่าตัดอาจเป็นตัวเลือกสุดท้าย

    การป้องกันโรคหูดหงอนไก่

    เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถแพร่กระจายได้ง่าย การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ โดยสามารถทำได้ดังนี้:

    • ฉีดวัคซีน HPV วัคซีน HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูก ควรฉีดตั้งแต่อายุ 9-26 ปี เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แม้ถุงยางจะไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การมีคู่นอนหลายคนเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV
    • ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจ โดยเฉพาะผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear)
    • รักษาภูมิคุ้มกันของร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ HPV แม้ว่าอาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงในทันที แต่สามารถแพร่กระจาย และส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การป้องกันด้วยวัคซีน HPV การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง หากคุณพบว่าตัวเองมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นหูดหงอนไก่ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษา 

  • รู้ทันอาการคันในที่ลับ : ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาให

    รู้ทันอาการคันในที่ลับ : ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาให

    อาการคันในที่ลับ หรือบริเวณอวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหา นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว อาการนี้ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ร้ายแรง หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษา

    รู้ทันอาการคันในที่ลับ ป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาใหญ่

    อาการคันในที่ลับ คืออะไร?

    อาการคันในที่ลับ หมายถึง อาการระคายเคืองหรือคันที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การแพ้หรือการระคายเคืองเล็กน้อย ไปจนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) หรือปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน

    สาเหตุของอาการคันในที่ลับ

    • การระคายเคืองหรือแพ้
      • การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น สบู่ น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้น หรือผงซักฟอกที่มีสารเคมีแรง
      • การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือใช้ชุดชั้นในที่ทำจากวัสดุไม่ระบายอากาศ
    • การติดเชื้อทางผิวหนัง
      • เชื้อรา: การติดเชื้อราที่บริเวณจุดซ่อนเร้น เช่น การติดเชื้อ Candida albicans มักเกิดจากความอับชื้น
      • แบคทีเรีย: การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น แบคทีเรียวาไจนาลิส (Bacterial Vaginosis) ในผู้หญิง
      • หิดหรือเหา: การติดเชื้อปรสิตที่บริเวณอวัยวะเพศ
    • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI)
      • หนองในเทียม หรือ หนองในแท้
      • เริมที่อวัยวะเพศ: ทำให้เกิดตุ่มใสที่ทำให้คัน และเจ็บ
      • หูดหงอนไก่: มักมีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอกเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศ
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
      • พบได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจแห้ง และคันได้
    • ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพผิวหนัง
      • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
      • โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema)

    การดูแล และจัดการเบื้องต้น

    • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และปราศจากน้ำหอม หรือเลือกชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย และระบายอากาศได้ดี
    • รักษาความสะอาด ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงในบริเวณจุดซ่อนเร้น
    • ลดความอับชื้น สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวม และระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าเปียกเป็นเวลานาน
    • งดเกา การเกาบริเวณที่คันอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือระคายเคืองมากขึ้น
    • ปรึกษาแพทย์ หากอาการไม่หายไปภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการร่วม เช่น แสบ เจ็บ ตุ่มหรือผื่นผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
    การป้องกันอาการคันในที่ลับ

    การป้องกันอาการคันในที่ลับ

    • รักษาสุขอนามัยส่วนตัว ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำอุ่นวันละ 1-2 ครั้ง และเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
    • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม และสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • ดูแลสุขภาพโดยรวม รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    อาการคันในที่ลับเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ การดูแลสุขอนามัยส่วนตัว หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการดังกล่าวได้ หากมีอาการผิดปกติที่ไม่หายไปในระยะเวลาสั้นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

  • เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อไม่มีการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ การค้นพบยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญ ซึ่งช่วยยืดอายุ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างมหาศาล

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี  (Antiretroviral Therapy : ART)  คือ ยาที่ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ยาเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) และช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

    กลไกการทำงานของยาต้านไวรัสเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีทำงานโดยการรบกวนขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขยายตัวของไวรัสในร่างกาย โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักดังนี้

    • Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ขัดขวางการคัดลอกสารพันธุกรรมของไวรัส
    • Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase
    • Protease Inhibitors (PIs) ป้องกันการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการประกอบไวรัสใหม่
    • Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งช่วยไวรัสแทรก DNA เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์
    • Entry/Fusion Inhibitors ป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ CD4

    ประโยชน์ของการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • ลดปริมาณไวรัสในเลือด ช่วยลดโอกาสเกิดโรคฉวยโอกาส
    • เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    • ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หาก Viral Load ต่ำจนตรวจไม่พบ การแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์จะลดลงถึงศูนย์
    • ปรับปรุงคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และปกติได้
    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • เริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุด
      • ทำไมต้องเริ่มเร็ว การเริ่มใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่แรกที่ทราบผลการติดเชื้อ ช่วยลดความเสียหายของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
      • เมื่อเริ่มต้น ปัจจุบันคำแนะนำคือให้เริ่มใช้ยาทันทีที่ทราบว่ามีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องรอให้ระดับ CD4 ต่ำลง
    • เลือกสูตรยาที่เหมาะสม แพทย์จะเลือกสูตรยาต้านไวรัสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย โดยพิจารณาจาก
      • ระดับ CD4
      • ปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load)
      • สุขภาพทั่วไป เช่น การทำงานของไตแ ละตับ
      • ประวัติการแพ้ยา
      • สถานะการตั้งครรภ์
        โดยสูตรยาต้านไวรัสที่นิยมใช้คือ ยาสูตรผสม (Fixed-Dose Combination) ซึ่งรวมตัวยาหลายชนิดในเม็ดเดียวเพื่อความสะดวก และลดโอกาสการลืมยา
    • รับประทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
      • เวลา ยาต้านไวรัสบางชนิดต้องรับประทานพร้อมอาหารหรือในขณะท้องว่าง อ่านฉลาก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
      • จำนวนครั้งต่อวัน ปกติสูตรยาสมัยใหม่มักให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง แต่บางสูตรอาจต้องรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน
      • ความสม่ำเสมอ ควรรับประทานยาตรงเวลาในทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา
    • ติดตามผลการรักษา
      • ตรวจ Viral Load หลังเริ่มใช้ยาประมาณ 1-3 เดือน แพทย์จะตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อตรวจสอบว่ายาได้ผลหรือไม่ หาก Viral Load ลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) แสดงว่ายามีประสิทธิภาพ
      • ตรวจ CD4 เพื่อติดตามระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • จัดการผลข้างเคียง ผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสมักแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น
      • ผลข้างเคียงระยะสั้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ
      • ผลข้างเคียงระยะยาว ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคไต โรคตับหากพบอาการรุนแรง หรือผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยา
    • การใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาอื่น ยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส เช่น ยาลดกรด ยากันชัก สมุนไพรบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
    • ป้องกันการดื้อยา
      • การดื้อยา คือ ภาวะที่เชื้อเอชไอวี ปรับตัวจนยาไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสได้ สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
      • หลีกเลี่ยงการลืมยา หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยเวลารับประทานมานานเกิน 12 ชั่วโมง ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานตามปกติในมื้อถัดไป
    • การหยุดใช้ยาต้านไวรัการหยุดใช้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เชื้อเอชไอวี ดื้อยา และส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาในอนาคต หากจำเป็นต้องหยุดยาชั่วคราว เช่น ระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสม

    การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

    • ใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • ใช้ยา PrEP สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อทราบสถานะสุขภาพของตนเอง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับการติดเชื้อเอชไอวี แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไวรัสและป้องกันการแพร่เชื้อได้ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคติดต่อ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

  • โรคติดเชื้อฉวยโอกาส : เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันอย่างละเอียด

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส : เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันอย่างละเอียด

    ในระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ร่างกายสามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจเข้าสู่ร่างกายได้ แต่สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือถูกกดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน โรคติดเชื้อฉวยโอกาส อาจเป็นปัญหาที่ร้ายแรง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีการป้องกัน และรักษา เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บ

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันอย่างละเอียด

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส คืออะไร?

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infections) คือ กลุ่มของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือถูกกดภูมิคุ้มกันลงจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้เหมือนปกติ โรคเหล่านี้มักพบในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ซึ่งมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือเคมีบำบัด

    สาเหตุของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือปรสิตที่ปกติแล้วไม่ก่อให้เกิดอาการในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ตัวอย่างเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่

    • แบคทีเรีย: Mycobacterium tuberculosis (วัณโรค), Salmonella
    • ไวรัส: Cytomegalovirus (CMV), Herpes simplex virus (HSV)
    • เชื้อรา: Candida (เชื้อราที่ทำให้เกิดฝ้าขาวในช่องปาก), Cryptococcus
    • ปรสิต: Toxoplasma gondii

    ใครบ้างที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อฉวยโอกาส?

    ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส ได้แก่

    • ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์: โดยเฉพาะผู้ที่มี CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
    • ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น หลังปลูกถ่ายอวัยวะหรือเคมีบำบัด
    • ผู้ป่วยเรื้อรัง: เช่น เบาหวาน โรคตับ โรคไต
    • ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก: เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

    อาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    อาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ก่อโรค และบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ ตัวอย่างเช่น:

    • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอเรื้อรัง หายใจลำบาก มีไข้สูง
    • การติดเชื้อในระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะรุนแร อาการชักหรือหมดสติ
    • การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้อง
    • การติดเชื้อในช่องปาก และผิวหนัง เช่น ฝ้าขาวในช่องปาก ผื่นแดงหรือแผลเรื้อรัง
    การวินิจฉัยโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    การวินิจฉัยโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    แพทย์จะวินิจฉัยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสจาก

    • การซักประวัติ เพื่อประเมินความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อเอชไอวีหรือการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
    • การตรวจร่างกาย ตรวจหาสัญญาณของการติดเชื้อ
    • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือการเพาะเชื้อ
    • การตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด การตรวจซีทีสแกน หรือการตัดชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัย

    วิธีรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    • ยาต้านเชื้อ การรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ เช่น ยาปฏิชีวนะสำหรับแบคทีเรีย ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา หรือยาฆ่าปรสิต
    • การเสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ป่วยเอชไอวี การทานยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อฉวยโอกาส
    • การดูแลแบบประคับประคอง เช่น การให้น้ำเกลือ การดูแลอาหาร และการลดอาการเจ็บปวด

    การป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    • ป้องกันการติดเชื้อใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ป่วยหรือสัตว์ที่อาจเป็นพาหะของโรค
    • รับวัคซีน เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีนไข้หวัดใหญ่
    • การตรวจสุขภาพเป็นประจำ สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรตรวจเลือดและรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ แม้จะเป็นโรคที่ดูร้ายแรง แต่สามารถป้องกันและรักษาได้หากมีการดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ความเข้าใจและการป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

  • ถุงยางอนามัยกับความสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศ

    ถุงยางอนามัยกับความสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศ

    การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ เพราะสุขภาพทางเพศที่ดีส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ซึ่งหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการป้องกันโรค และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ คือการใช้ ถุงยางอนามัย

    ถุงยางอนามัยกับความสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศ

    ถุงยางอนามัย คืออะไร?

    ถุงยางอนามัย (Condom) เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากยางธรรมชาติ (Latex) หรือวัสดุอื่น เช่น โพลียูรีเทน (Polyurethane) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อครอบคลุมอวัยวะเพศชาย (Male Condom) หรือใช้ในช่องคลอด (Female Condom) ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด หรือเลือด ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    ประโยชน์ของถุงยางอนามัย

    • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ถุงยางอนามัยสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HIV โรคซิฟิลิส โรคหนองใน โรคเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก และหูดหงอนไก่ ได้อีกด้วย
    • ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ถุงยางอนามัยมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเมื่อใช้อย่างถูกต้อง
    • เข้าถึงง่าย และราคาไม่แพง ถุงยางอนามัยมีจำหน่ายทั่วไปในร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
    • ลดความเสี่ยงของโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์โดยตรง เช่น การติดเชื้อในช่องคลอดหรือการอักเสบในระบบสืบพันธุ์
    • ไม่มีผลข้างเคียงต่อฮอร์โมน ต่างจากวิธีคุมกำเนิดบางประเภทที่อาจส่งผลต่อระบบฮอร์โมนของร่างกาย

    วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง

    การใช้ถุงยางอนามัยให้ได้ผลสูงสุดขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง ดังนี้:

    • ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ ตรวจวันหมดอายุ และความสมบูรณ์ของซองถุงยางอนามัยก่อนใช้งาน
    • เปิดซองด้วยความระมัดระวัง
      ห้ามใช้กรรไกรหรือของมีคมเพราะอาจทำให้ถุงยางฉีกขาด
    • ใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง
      • สำหรับผู้ชาย: สวมถุงยางขณะอวัยวะเพศแข็งตัว โดยบีบปลายถุงยางเพื่อไล่อากาศ และม้วนลงจนถึงโคนอวัยวะเพศ
      • สำหรับผู้หญิง: ใส่ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงในช่องคลอดก่อนการมีเพศสัมพันธ์
    • ใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะสม หากต้องการใช้สารหล่อลื่น ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับถุงยาง เช่น สารหล่อลื่นสูตรน้ำ (Water-based) หลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น วาสลีน เพราะอาจทำให้ถุงยางขาดได้
    • ถอดถุงยางอย่างถูกวิธี หลังการหลั่ง ควรถอดถุงยางขณะอวัยวะเพศยังแข็งตัว โดยจับที่โคนถุงยางเพื่อป้องกันการรั่วไหล
    • ทิ้งถุงยางในที่เหมาะสม ควรห่อถุงยางด้วยกระดาษหรือทิชชู่ก่อนทิ้งในถังขยะ ห้ามทิ้งลงชักโครก
    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับถุงยางอนามัย

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับถุงยางอนามัย

    • ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคทุกชนิดได้ 100% แม้ว่าถุงยางอนามัยจะมีประสิทธิภาพสูง แต่การป้องกันโรคขึ้นอยู่กับการใช้งานที่ถูกต้อง และสม่ำเสมอ
    • ถุงยางอนามัยไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้ลาเท็กซ์ ปัจจุบันมีถุงยางอนามัยที่ทำจากโพลียูรีเทน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ลาเท็กซ์
    • ใช้ถุงยางอนามัยสองชั้นจะปลอดภัยกว่า การใช้ถุงยางสองชั้นเพิ่มโอกาสที่ถุงยางจะเสียดสีกัน และฉีกขาดง่ายขึ้น

    ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลสุขภาพทางเพศ

    • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ
    • สื่อสารกับคู่รัก พูดคุยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพ และการวางแผนครอบครัว
    • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ การมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศศึกษา และการดูแลสุขภาพทางเพศช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
    • ใช้วิธีป้องกันเสริม การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับการใช้ยาคุมกำเนิดหรือการฉีดยาคุมกำเนิดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ถุงยางอนามัยไม่เพียงแต่เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นใจ และส่งเสริมสุขภาพทางเพศที่ดี การใช้งานอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอควบคู่กับการดูแลสุขภาพทางเพศในด้านอื่นๆ จะช่วยให้คุณ และคู่รักสามารถเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  • รู้จักโรคเริม ภัยเงียบจากไวรัสที่ควรรู้จัก พร้อมวิธีป้องกัน และรักษา

    รู้จักโรคเริม ภัยเงียบจากไวรัสที่ควรรู้จัก พร้อมวิธีป้องกัน และรักษา

    โรคเริม เป็นโรคติดต่อที่หลายคนมักมองข้าม แต่แท้จริงแล้วเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกาย และจิตใจ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV อาจเผชิญกับอาการที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ตุ่มน้ำ ผื่นแดง และอาการปวดแสบปวดร้อน รวมถึงความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำของอาการ แม้ว่าโรคเริมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแล และป้องกันที่ถูกต้องสามารถช่วยลดความรุนแรง และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ 

    รู้จักโรคเริม ภัยเงียบจากไวรัสที่ควรรู้จัก พร้อมวิธีป้องกัน และรักษา

    โรคเริม คืออะไร?

    โรคเริม (Herpes) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่

    • HSV-1 มักพบการติดเชื้อบริเวณปาก และริมฝีปาก (oral herpes)
    • HSV-2 มักพบการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ (genital herpes)

    ทั้งสองชนิดสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับรอยโรค หรือของเหลวที่มีเชื้อไวรัสอยู่

    สาเหตุของโรคเริม

    โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่าน

    • การสัมผัสโดยตรง สัมผัสกับรอยโรค ตุ่มน้ำ หรือของเหลวที่มีไวรัส
    • การมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทางทวารหนัก
    • การใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หรืออุปกรณ์ที่สัมผัสกับรอยโรค
    • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ระหว่างการคลอด หากแม่มีเริมบริเวณอวัยวะเพศ

    อาการของโรคเริม

    • อาการในระยะแรก (ระยะเฉียบพลัน)
      • ผื่นแดง และตุ่มน้ำใส: เกิดผื่นหรือตุ่มน้ำขนาดเล็กบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ริมฝีปาก อวัยวะเพศ หรือรอบปาก
      • อาการคันหรือปวดแสบปวดร้อน: เป็นลักษณะเฉพาะที่มักเกิดก่อนการปรากฏของตุ่มน้ำ
    • ตุ่มแตก และตกสะเก็ด: ตุ่มน้ำจะแตกออก และทิ้งรอยแผลไว้ จากนั้นจะตกสะเก็ด และหายไปในที่สุด
    • อาการเรื้อรังหรือการกลับมาเป็นซ้ำ
      • โรคเริมเป็นโรคที่ไวรัสจะยังคงซ่อนตัวในร่างกาย แม้ว่าอาการจะหายแล้ว
      • การกลับมาเป็นซ้ำมักเกิดจากปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือการสัมผัสแสงแดด
    • อาการอื่นที่เกี่ยวข้อง อาจมีอาการไข้ ปวดหัว และต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะในระยะแรกของการติดเชื้อ

    การวินิจฉัยโรคเริม

    • การตรวจร่างกาย แพทย์ตรวจดูรอยโรคหรือตุ่มน้ำบริเวณที่สงสัย
    • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ แพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากตุ่มน้ำเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส HSV
    • การตรวจเลือด ใช้ในกรณีที่ไม่มีรอยโรคหรือเมื่อต้องการยืนยันการติดเชื้อในระยะยาว
    การรักษาโรคเริม

    การรักษาโรคเริม

    แม้ว่าโรคเริมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษามุ่งเน้นที่การควบคุมอาการ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

    • การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) ยาที่นิยมใช้ เช่น Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir ยาต้านไวรัสช่วยลดระยะเวลาของการเกิดอาการ และความรุนแรง
    • การดูแลแผล รักษาความสะอาดบริเวณที่มีรอยโรค หลีกเลี่ยงการเกาหรือแกะแผล เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
    • การรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (Suppressive Therapy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการซ้ำบ่อยครั้ง ซึ่งการใช้ยาต้านไวรัสในขนาดต่ำต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดอาการ

    การป้องกันโรคเริม

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรค หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่มีรอยโรคเริม
    • ใช้ถุงยางอนามัย การใช้ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์
    • ดูแลสุขภาพ และภูมิคุ้มกัน พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย
    • ระวังการใช้ของร่วมกัน หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของที่อาจปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือแก้วน้ำ
    • แจ้งคู่ครองหรือคู่นอน หากคุณมีเชื้อเริม ควรแจ้งคู่ครองเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคเริมเป็นโรคที่พบได้บ่อย และแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยควบคุมอาการ และป้องกันการแพร่กระจายได้ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การป้องกันอย่างเคร่งครัด และการใช้ยาต้านไวรัสเมื่อจำเป็น จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และมั่นใจในสุขภาพของตนเอง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save