
โรคหูดข้าวสุก คืออะไร?
โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus (MCV) ซึ่งอยู่ในกลุ่มไวรัส Poxvirus ลักษณะเด่นของโรคนี้คือ ตุ่มนูนขนาดเล็ก สีขาวหรือชมพู มีลักษณะมันเงา และมีจุดตรงกลางคล้ายหลุม
เชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสโดยตรงจากคนสู่คน หรือการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน และเครื่องใช้ในห้องน้ำ นอกจากนี้ ยังสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่
สาเหตุของโรคหูดข้าวสุก
ไวรัส Molluscum Contagiosum แพร่กระจายผ่าน การสัมผัสโดยตรง หรือ สัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ ได้แก่
- การสัมผัสโดยตรง: เช่น การสัมผัสตุ่มของผู้ติดเชื้อ หรือเกาบริเวณที่มีตุ่มแล้วสัมผัสร่างกายส่วนอื่น
- การมีเพศสัมพันธ์: ทำให้เชื้อแพร่กระจายในบริเวณอวัยวะเพศ
- การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว มีดโกน หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่มีการสัมผัสผิวหนัง
- การว่ายน้ำในสระสาธารณะ: แม้ว่าการแพร่เชื้อผ่านน้ำจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่การสัมผัสพื้นผิวรอบๆ สระที่ปนเปื้อนเชื้ออาจเป็นปัจจัยเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อสูง ได้แก่
- เด็กที่ชอบเล่นสัมผัสกับพื้นผิว หรือสิ่งของที่มีเชื้อ
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- นักกีฬาที่มีการสัมผัสผิวหนังกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เช่น มวยปล้ำ ยูโด
อาการของโรคหูดข้าวสุก
- ลักษณะของตุ่มหูด
- ตุ่มเล็กๆ สีขาวหรือชมพู มันวาว และมีจุดบุ๋มตรงกลาง
- มีขนาดตั้งแต่ 2-5 มิลลิเมตร และอาจใหญ่ขึ้นได้ในบางกรณี
- มักไม่เจ็บ แต่บางครั้งอาจคันหรือระคายเคือง
- บริเวณที่พบบ่อย
- ในเด็ก: มักเกิดที่ใบหน้า คอ แขน ขา หรือบริเวณลำตัว
- ในผู้ใหญ่: มักพบที่อวัยวะเพศ ท้อง ต้นขา หรือก้น (จากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์)
- ในผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ: ตุ่มอาจมีขนาดใหญ่ขึ้น กระจายเป็นบริเวณกว้าง และหายช้ากว่าปกติ
การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยอาศัย
- การตรวจร่างกาย: สังเกตลักษณะของตุ่มหูด
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: แพทย์อาจขูดเซลล์จากตุ่มหูดเพื่อตรวจหาไวรัส
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และต้องแยกโรคจากภาวะอื่น เช่น โรคเริม หรือหูด HPV
วิธีการรักษาโรคหูดข้าวสุก
แม้ว่าโรคหูดข้าวสุกสามารถหายได้เองภายใน 6-12 เดือนในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติ แต่การรักษาสามารถช่วยลดระยะเวลาการติดเชื้อ และป้องกันการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
- การรักษาด้วยยา
- ครีมยา Podophyllotoxin หรือ Imiquimod ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายไวรัส
- กรด TCA (Trichloroacetic Acid) ใช้แต้มที่ตุ่มเพื่อทำให้แห้ง และหลุดออก
- ยาต้านไวรัส (สำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ) อาจจำเป็นในบางกรณี
- การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
- การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวในการทำลายตุ่มหูด
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): ใช้พลังงานไฟฟ้าเผาทำลายตุ่ม
- การขูดออก (Curettage): ใช้เครื่องมือขูดออกจากผิวหนัง (แนะนำทำโดยแพทย์เพื่อลดการระคายเคือง)
- การรักษาแบบธรรมชาติ (อาการไม่รุนแรง)
- น้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil): มีคุณสมบัติต้านไวรัส และช่วยให้ตุ่มหูดแห้งเร็วขึ้น
- น้ำมันหอมระเหยจากกระเทียม: มีฤทธิ์ต้านไวรัส และช่วยลดอาการอักเสบ
- น้ำผึ้งมานูก้า: มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ และช่วยให้ผิวหนังสมานตัวเร็วขึ้น
การป้องกันโรคหูดข้าวสุก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มหูดของผู้อื่น หรือหลีกเลี่ยงการเกาตุ่มของตนเอง
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือมีดโกน
- ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสบริเวณที่เป็นตุ่มหูด
- ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ แม้ถุงยางไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือซาวน่าในที่สาธารณะ หากมีตุ่มหูดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
โรคหูดข้าวสุกเป็นโรคติดเชื้อทางผิวหนังที่เกิดจากไวรัส Molluscum Contagiosum ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายหากไม่มีการดูแลที่เหมาะสม แม้ว่าโรคนี้มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ควรได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และลดระยะเวลาของโรค หากคุณพบตุ่มผิดปกติที่มีลักษณะคล้ายหูดข้าวสุก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม
Post Views: 74