Author: end hiv

  • โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียม เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ( STI) ที่พบได้บ่อย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคหนองในแท้ แต่มีสาเหตุและลักษณะบางประการที่แตกต่างกัน 

    โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียมคืออะไร?

    โรคหนองในเทียม (Non-Gonococcal Urethritis หรือ NSU) เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะในเพศชาย หรืออวัยวะสืบพันธุ์ในเพศหญิง ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อหนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae) แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยโรคนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย

    สาเหตุของโรคหนองในเทียม

    โรคหนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือจุลชีพหลายชนิด ได้แก่:

    • Chlamydia trachomatis เป็นสาเหตุหลักของโรคหนองในเทียม พบได้ประมาณ 40% ของผู้ติดเชื้อ
    • Ureaplasma urealyticum แบคทีเรียที่พบได้บ่อยในระบบสืบพันธุ์
    • Trichomonas vaginalis ปรสิตที่ก่อให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์
    • Mycoplasma genitalium แบคทีเรียที่สามารถทำให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง
    • เชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) หรือ HPV (Human Papillomavirus)

    อาการของโรคหนองในเทียม

    อาการของโรคหนองในเทียมอาจแตกต่างกันระหว่างเพศชาย และหญิง และบางรายอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่ที่พบบ่อยมีดังนี้

    ในเพศชาย

    • มีของเหลวสีขาวขุ่นหรือหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • ระคายเคือง และคันบริเวณปลายท่อปัสสาวะ
    • อาการบวมแดงที่ปลายอวัยวะเพศ
    • ในบางกรณีอาจมีอาการปวดหรือบวมบริเวณลูกอัณฑะ

    ในเพศหญิง

    • ตกขาวผิดปกติ ลักษณะเป็นมูกปนหนอง และมีกลิ่นเหม็น
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • เจ็บหรือปวดท้องน้อย โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
    • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
    • อาการคันหรือแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ

    ในบริเวณอื่น ๆ

    • การติดเชื้อทางทวารหนัก: อาจมีหนองไหล เจ็บหรือปวดบริเวณดังกล่าว
    • การติดเชื้อทางปาก: อาจมีอาการเจ็บคอ ไอ หรือไข้เล็กน้อย

    การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม

    แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคหนองในเทียมโดย

    • ซักประวัติ และอาการ ประเมินความเสี่ยง และพฤติกรรมทางเพศของผู้ป่วย
    • การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง เช่น ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะในผู้ชาย หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูกในผู้หญิง
    • การตรวจย้อมสี และกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบในเนื้อเยื่อ
    • การเพาะเชื้อ ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อ
    • การตรวจ Chlamydial Test ใช้เทคนิค PCR เพื่อตรวจหาเชื้อ Chlamydia trachomatis โดยตรง
    การรักษาโรคหนองในเทียม

    การรักษาโรคหนองในเทียม

    โรคหนองในเทียมสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมตามชนิดของเชื้อ เช่น

    • Azithromycin ใช้ปริมาณ 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
    • Doxycycline รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
    • Erythromycin ใช้ในกรณีผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์หรือแพ้ยากลุ่มอื่น
    • Roxithromycin ใช้ในปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน

    ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และรับประทานยาจนครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม

    วิธีป้องกันโรคหนองในเทียม

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคนหรือการไม่ใช้ถุงยางอนามัย
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือสิ่งของที่สัมผัสกับสารคัดหลั่ง
    • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ทำความสะอาดอวัยวะเพศหลังการมีเพศสัมพันธ์

    ผลกระทบของโรคหนองในเทียมหากไม่ได้รับการรักษา

    หากปล่อยให้โรคหนองในเทียมลุกลาม อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น

    • ภาวะมีบุตรยาก เกิดจากการอักเสบในระบบสืบพันธุ์
    • อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) ในผู้หญิง
    • อัณฑะอักเสบ ในผู้ชาย
    • การเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น เอชไอวีหรือซิฟิลิส

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง การป้องกันโรคด้วยการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และแพร่กระจายโรค อย่ารอช้าหากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจ และรักษาอย่างทันท่วงที

  • PEP ยาฉุกเฉินเพื่อป้องกันเอชไอวี : ใครควรใช้ และเมื่อไหร่?

    PEP ยาฉุกเฉินเพื่อป้องกันเอชไอวี : ใครควรใช้ และเมื่อไหร่?

    ยาเป๊ป หรือยาป้องกันฉุกเฉินหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี เป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีหลังเกิดเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือการถูกเข็มปนเปื้อนเชื้อแทง การใช้ยาเป๊ป อย่างถูกต้อง และทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    PEP ยาฉุกเฉินเพื่อป้องกันเอชไอวี ใครควรใช้ และเมื่อไหร่?

    ยาเป๊ป (PEP) คืออะไร?

    ยาเป๊ป (PEP = Post-Exposure Prophylaxis) เป็นการใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ARV) หลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยยาเป๊ป จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีแพร่กระจายในร่างกาย โดยยาเป๊ป มีประสิทธิภาพสูงหากเริ่มใช้ ภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ ฉะนั้นยิ่งเริ่มใช้ยาเร็วเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการป้องกันยิ่งเพิ่มขึ้น

    ใครควรใช้ยาเป๊ป?

    ยาเป๊ป เหมาะสำหรับผู้ที่เผชิญสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อเอชไอวี เช่น

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือหลุด และการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือไม่ทราบสถานะสุขภาพ
    • การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ยาเป๊ป เป็นสิ่งจำเป็นในกรณีฉุกเฉินนี้
    • การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
    • บุคลากรทางการแพทย์ ถูกเข็มปนเปื้อนเชื้อแทง หรือสัมผัสเลือด/น้ำคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ
    • การสัมผัสเชื้อทางอื่น ๆ เช่น การได้รับบาดเจ็บจากอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อ

    เมื่อไหร่ควรเริ่มใช้ยาเป๊ป?

    ยาเป๊ป ต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ หากเริ่มใช้ยาเกินกว่า 72 ชั่วโมง ยาเป๊ปจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกัน ดังนั้นควรรีบไปพบแพทย์ หรือสถานพยาบาลทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี

    ขั้นตอนการใช้ยาเป๊ป

    • ปรึกษาแพทย์ทันที
      • หากคุณคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ ให้รีบไปพบแพทย์ในสถานพยาบาลที่มีบริการยาเป๊ป
      • แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประเมินว่าคุณจำเป็นต้องใช้ยาเป๊ป หรือไม่
    • ตรวจสุขภาพเบื้องต้น
      • แพทย์จะตรวจหาเชื้อเอชไอวีในร่างกายก่อนเริ่มใช้ยาเป๊ป
      • อาจมีการตรวจการทำงานของตับและไต เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับยาต้านไวรัสได้อย่างปลอดภัย
    • การจ่ายยา
      • ยาเป๊ป ต้องรับประทาน ต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 28 วัน
      • ยาต้องรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อให้ระดับยาคงที่ในร่างกาย
    • การติดตามผลหลังการใช้ยา
      • หลังจากสิ้นสุดการใช้ยา 28 วัน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามผล
      • โดยปกติจะมีการนัดตรวจหาเชื้อเอชไอวีเพิ่มเติมในระยะเวลา 1 เดือน และ 3 เดือนหลังการสัมผัสเชื้อ

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาเป๊ป

    • ยาเป๊ปไม่ใช่วิธีป้องกันล่วงหน้า ยาเป๊ปใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการป้องกันด้วยถุงยางอนามัยหรือยาเพร็พได้
    • การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การหยุดยาหรือข้ามมื้อยาจะลดประสิทธิภาพในการป้องกัน
    • ผลข้างเคียงของยา อาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรืออ่อนเพลียในระหว่างการใช้ยา แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักไม่รุนแรง
    • ยาเป๊ปไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือเริม ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัยยังคงจำเป็น

    วิธีการป้องกันเอชไอวีในระยะยาว

    แม้ว่ยาเป๊ป จะช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ แต่การป้องกันล่วงหน้ายังคงเป็นสิ่งสำคัญ:

    • การใช้ถุงยางอนามัย เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
    • การใช้ยาเพร็พ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวีในระยะยาว
    • การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ยาเป๊ป เป็นยาป้องกันฉุกเฉินที่มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีหลังสัมผัสเชื้อ หากคุณเผชิญสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง อย่ารอช้า รีบปรึกษาแพทย์ และเริ่มใช้ยาเป๊ป ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด

    นอกจากนี้ การป้องกันเชิงรุก เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณปลอดภัย และมั่นใจในสุขภาพของตัวเองได้ในระยะยาว

  • PrEP ช่วยลดความเสี่ยง : ป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ

    PrEP ช่วยลดความเสี่ยง : ป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ

    ยาเพร็พ หรือยาป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสเชื้อ บทบาทของยาเพร็พ ในการลดความเสี่ยงนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีในชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

    PrEP ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ

    ยาเพร็พ (PrEP) คืออะไร?

    ยาเพร็พ (PrEP = Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาต้านไวรัสที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่ร่างกายจะสัมผัสเชื้อ โดยยานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีเชื้อเอชไอวีแต่มีความเสี่ยงสูง เช่น

    • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
    • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
    • ชายรักชาย (MSM) หรือกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีความเสี่ยง
    • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
    • ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

    ยาเพร็พ ทำงานโดยการป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีแพร่กระจายและเพิ่มจำนวนในร่างกาย

    ประสิทธิภาพของยาเพร็พ

    • ลดความเสี่ยงจากเพศสัมพันธ์ ยาเพร็พสามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 99% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง
    • ลดความเสี่ยงจากการใช้เข็มร่วมกัน สำหรับผู้ที่ใช้สารเสพติด ยาเพร็พยาเพร็พสามารถลดความเสี่ยงได้ประมาณ 74%
    • การใช้ยาเพร็พอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องจะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน

    วิธีการใช้ยาเพร็พให้ได้ผล

    • เริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ ก่อนเริ่มใช้ยาเพร็พ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น ตรวจหาเชื้อเอชไอวี ตรวจการทำงานของตับและไต
    • การรับประทานยา รับประทานยาวันละ 1 เม็ด ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่
    • ระยะเวลาเริ่มต้นของยา ยาเพร็พ จะเริ่มมีประสิทธิภาพหลังจากการรับประทานอย่างต่อเนื่องประมาณ:
      • 7 วัน สำหรับการป้องกันเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
      • 21 วัน สำหรับการป้องกันเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
    • การติดตามผล พบแพทย์ทุก 3 เดือน เพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวีและประเมินผลข้างเคียงของยา

    ยาเพร็พ เหมาะสำหรับใคร?

    ยาเพร็พ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อเอชไอวี เช่น

    • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี แต่คู่นอนกำลังรักษาด้วยยาต้านไวรัส
    • ผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน
    • ผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์
    • ผู้ที่ใช้สารเสพติดและใช้เข็มร่วมกัน
    ข้อดีของยาเพร็พ

    ข้อดีของยาเพร็พ

    • ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยาเพร็พมีความสามารถในการลดความเสี่ยงสูงมากหากใช้อย่างถูกต้อง
    • เพิ่มความมั่นใจในความสัมพันธ์ ผู้ที่ใช้ยาเพร็พ สามารถมีความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น
    • เสริมสร้างสุขภาพจิต และความมั่นใจ การป้องกันที่มีประสิทธิภาพช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อ
    • การเข้าถึงที่สะดวก ยาเพร็พ เป็นยาที่สามารถรับประทานง่าย และหากใช้ตามคำแนะนำจะไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาเพร็พ

    • ยาเพร็พป้องกันเฉพาะเอชไอวี ยาเพร็พ ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือเริม
    • ยาเพร็พต้องใช้ต่อเนื่อง การหยุดยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
    • ผลข้างเคียง บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์

    ยาเพร็พ ร่วมกับวิธีป้องกันอื่น ๆ

    เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ใช้ยาเพร็พ ควบคู่กับ

    • การใช้ถุงยางอนามัย ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • การตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และสุขภาพทั่วไป
    • การสื่อสารในความสัมพันธ์ การพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสถานะสุขภาพของตนเองและคู่นอน

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ยาเพร็พ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ยาเพร็พ อย่างถูกต้องและต่อเนื่องควบคู่กับการติดตามผลสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยให้คุณปลอดภัยจากเอชไอวีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

    ด้วยยาเพร็พ คุณสามารถป้องกันตัวเองและสร้างความมั่นใจในความสัมพันธ์ได้อย่างมั่นคง สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลและป้องกันอย่างเหมาะสม

  • อันตรายของโรคหนองใน : รู้ก่อน ป้องกันได้

    อันตรายของโรคหนองใน : รู้ก่อน ป้องกันได้

    โรคหนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก โรคนี้ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เพราะหากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และระบบสืบพันธุ์ในระยะยาว

    อันตรายของโรคหนองใน รู้ก่อน ป้องกันได้

    โรคหนองใน คืออะไร?

    โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae จะเจริญเติบโตในพื้นที่ที่มีความชื้น เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก คอหอย และเยื่อบุตา

    โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย

    การติดต่อของโรคหนองใน

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ติดต่อได้ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก
    • การสัมผัสกับของเหลวที่มีเชื้อ น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด หรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ
    • จากแม่สู่ลูก หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกระหว่างการคลอด ส่งผลให้ทารกมีปัญหาที่ดวงตา เช่น ติดเชื้อที่ตาหรืออาจทำให้ตาบอด

    อาการของโรคหนองใน

    อาการของโรคหนองในอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจน ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

    อาการในเพศชาย

    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • มีหนองสีขาว เหลือง หรือเขียวไหลจากท่อปัสสาวะ
    • เจ็บหรือบวมบริเวณลูกอัณฑะ

    อาการในเพศหญิง

    • ตกขาวผิดปกติ เช่น มีสีเหลืองหรือเขียว
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • เจ็บในอุ้งเชิงกราน หรือปวดท้องน้อย
    • มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน

    อาการที่เกิดจากการติดเชื้อในส่วนอื่น

    • ทวารหนัก อาจมีอาการปวด เจ็บ หรือมีหนองไหลออกมา
    • คอหอย อาจมีอาการเจ็บคอคล้ายต่อมทอนซิลอักเสบ
    • ดวงตา เกิดอาการแดง เจ็บ หรือมีหนองไหล

    อันตรายของโรคหนองในหากไม่ได้รับการรักษา

    • ภาวะมีบุตรยาก
      • ในเพศหญิง การติดเชื้ออาจลุกลามเข้าสู่มดลูก และปีกมดลูก ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ซึ่งส่งผลต่อการตั้งครรภ์
      • ในเพศชาย การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการอักเสบในท่อนำอสุจิ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก
    • การติดเชื้อในกระแสเลือด เชื้อหนองในสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ข้อต่อ หัวใจ และสมอง
    • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ติดเชื้อหนองในมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการติดเชื้อเอชไอวีหากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
    • การแพร่กระจายเชื้อสู่ทารก ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหนองในมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตา ซึ่งอาจนำไปสู่การตาบอด

    การวินิจฉัยโรคหนองใน

    • การเก็บตัวอย่าง การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ ช่องคลอด หรือทวารหนักเพื่อตรวจหาเชื้อ
    • การตรวจปัสสาวะ ใช้สำหรับตรวจหาเชื้อในท่อปัสสาวะ
    • การเพาะเชื้อ การเพาะเชื้อแบคทีเรียเพื่อยืนยันผล และระบุความไวต่อยาปฏิชีวนะ
    การรักษาโรคหนองใน

    การรักษาโรคหนองใน

    • ยาปฏิชีวนะ การรักษาโรคหนองในต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ceftriaxone ร่วมกับ Azithromycin หรือ Doxycycline เพื่อกำจัดเชื้อ แพทย์จะกำหนดขนาดยา และระยะเวลาการใช้ยาตามความเหมาะสม
    • การรักษาคู่นอน คู่นอนของผู้ป่วยควรได้รับการตรวจ และรักษาเช่นเดียวกัน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ
    • การติดตามผล ผู้ป่วยควรตรวจซ้ำหลังการรักษา เพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์

    การป้องกันโรคหนองใน

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคในระยะแรก
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การลดจำนวนคู่นอนช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • การพูดคุยเรื่องเพศศึกษา การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศช่วยสร้างความตระหนักรู้ และลดการแพร่กระจายโรค

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหนองใน เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค การป้องกัน และการตรวจรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพตนเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจ และปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อป้องกันอันตรายในอนาคต.

  • โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการและการรักษา

    โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการและการรักษา

    โรคซิฟิลิส เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และยังคงเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญในปัจจุบัน โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์  หรือการสัมผัสแผลที่ติดเชื้อโดยตรง แม้ว่าโรคซิฟิลิสจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาในระยะแรก โรคนี้อาจลุกลามและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น ระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ

    การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคซิฟิลิส อาการ วิธีการติดต่อ และการรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเพศที่ดีในสังคม การตรวจและรักษาที่ทันท่วงทีจึงเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการโรคนี้

    โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการ และการรักษา

    โรคซิฟิลิส คืออะไร?

    โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum เชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อ โรคซิฟิลิสมีความซับซ้อน และสามารถลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง และระบบประสาท

    โรคซิฟิลิสสามารถพบได้ในทุกเพศและทุกวัย การตระหนักถึงโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

    สาเหตุของโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่าน

    • การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสแผลที่เกิดจากซิฟิลิสในบริเวณอวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก
    • จากแม่สู่ลูก หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกระหว่างการตั้งครรภ์หรือการคลอด
    • การสัมผัสโดยตรงกับแผลติดเชื้อ การสัมผัสแผลริมแข็งที่เกิดจากซิฟิลิสโดยตรง เช่น ผ่านการสัมผัสด้วยมือ
    • การถ่ายเลือดที่ปนเปื้อน แม้จะพบได้น้อยในปัจจุบัน เนื่องจากมีการตรวจสอบเลือดที่เข้มงวด

    อาการของโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสมีอาการที่พัฒนาเป็น 4 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน

    • ระยะแรก (Primary Syphilis) เกิดแผลเล็ก ๆ ที่เรียกว่า แผลริมแข็ง แผลมีลักษณะกลม เรียบ ไม่เจ็บ และมักพบที่บริเวณที่สัมผัสเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก แผลอาจหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย
    • ระยะที่สอง (Secondary Syphilis) มีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือทั่วร่างกาย อาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการอาจหายไปเอง แต่เชื้อยังคงอยู่
    • ระยะแฝง (Latent Syphilis) ไม่มีอาการแสดงชัดเจน ระยะนี้สามารถกินเวลาหลายปี แต่เชื้อยังคงมีอยู่ และสามารถเข้าสู่ระยะสุดท้ายได้
    • ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis) เชื้อซิฟิลิสทำลายอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง สมองเสื่อม หรือหลอดเลือดโป่งพอง
    การรักษาโรคซิฟิลิส

    การรักษาโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคในขณะรับการรักษา

    • ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ Penicillin G Benzathine เป็นยามาตรฐานสำหรับการรักษาซิฟิลิส ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยจำนวนครั้งขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสำหรับผู้แพ้ Penicillin แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทางเลือก เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin
    • การติดตามผล ผู้ป่วยควรตรวจติดตามผลหลังจากรับการรักษา เพื่อยืนยันว่าเชื้อได้รับการกำจัดอย่างสมบูรณ์ ด้วยการตรวจเลือดซ้ำเพื่อวัดระดับแอนติบอดี และตรวจสอบผลการรักษา
    • การรักษาคู่นอน คู่นอนของผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจ และรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อซ้ำ

    การป้องกันโรคซิฟิลิส

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบเชื้อในระยะแรก
    • ลดพฤติกรรมเสี่ยง หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
    • การให้ความรู้ และพูดคุยเรื่องเพศศึกษา การส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การตระหนักรู้ถึงอาการ และการตรวจรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง ฉะนั้นโรคซิฟิลิสไม่ใช่โรคที่ควรรู้สึกอาย แต่ควรมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจ และปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

  • ตรวจเอชไอวี : ทำไมต้องตรวจ และตรวจได้ที่ไหนบ้าง?

    ตรวจเอชไอวี : ทำไมต้องตรวจ และตรวจได้ที่ไหนบ้าง?

    การตรวจเอชไอวี (HIV Testing) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในสังคม แม้ว่าหลายคนอาจรู้สึกกลัวหรืออาย แต่การตรวจเอชไอวีสามารถช่วยให้คุณทราบสถานะสุขภาพของตัวเอง และหากตรวจพบเชื้อ การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

    ตรวจเอชไอวี ทำไมต้องตรวจ และตรวจได้ที่ไหนบ้าง

    ทำไมต้องตรวจเอชไอวี?

    • เพื่อรู้สถานะสุขภาพของตัวเอง การทราบสถานะการติดเชื้อช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างเหมาะสม หากผลตรวจเป็นบวก คุณสามารถเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ได้ทันที
    • ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ผู้ที่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ และเริ่มการรักษาจะมีปริมาณไวรัสในร่างกายลดลงจนถึงระดับที่ตรวจไม่พบ ซึ่งช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
    • การป้องกันตัวเอง และคู่ครอง การตรวจเอชไอวีเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพทางเพศ หากคุณมีผลตรวจเป็นลบ คุณสามารถใช้วิธีป้องกันเพิ่มเติม เช่น การใช้ถุงยางอนามัยหรือยา PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    • เตรียมความพร้อมในการวางแผนครอบครัว สำหรับผู้ที่วางแผนจะมีบุตร การตรวจเอชไอวีช่วยให้คุณวางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย และลดโอกาสการถ่ายทอดเชื้อไปยังลูก

    ประเภทของการตรวจเอชไอวี

    • การตรวจแอนติบอดี/แอนติเจน (Antibody/Antigen Test)
      • ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี และแอนติเจนของไวรัสที่ปรากฏในระยะต้นของการติดเชื้อ
      • สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
      • การตรวจนี้เป็นที่นิยมเพราะมีความแม่นยำสูงและสามารถตรวจได้ในระยะต้น
      • ใช้เวลารอผลประมาณ 1-2 วันในห้องปฏิบัติการ
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test)
      • ตรวจหา RNA ของไวรัสโดยตรง ซึ่งช่วยระบุการติดเชื้อได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือสงสัยว่าติดเชื้อในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
      • มีความแม่นยำสูง แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการตรวจแบบอื่น
      • มักใช้ในกรณีที่มีผลตรวจเบื้องต้นที่ไม่แน่ชัด
    • การตรวจด้วยชุดตรวจตัวเอง (Self-Test)
      • ชุดตรวจเอชไอวีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางการแพทย์ ให้คุณสามารถตรวจได้ที่บ้าน
      • ใช้ตัวอย่างน้ำลายหรือน้ำเลือดปลายนิ้ว ให้ผลลัพธ์เบื้องต้นภายใน 20-30 นาที
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่หากผลตรวจเป็นบวก ควรเข้ารับการตรวจยืนยันที่สถานพยาบาล
    • การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test)
      • ใช้ตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้วหรือสารคัดหลั่งจากปาก ให้ผลลัพธ์ภายใน 15-30 นาที
      • สะดวกและเหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในพื้นที่ที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยาก
      • หากผลเป็นบวก ควรทำการตรวจยืนยันเพิ่มเติม
    • การตรวจทางปัสสาวะ
      • ใช้ตัวอย่างปัสสาวะเพื่อตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี
      • มีความสะดวกในการเก็บตัวอย่าง แต่มีความแม่นยำน้อยกว่าการตรวจเลือด
    ข้อดี และข้อเสียของการตรวจเอชไอวี

    ข้อดี และข้อเสียของการตรวจเอชไอวี

    ข้อดี

    • การรู้สถานะสุขภาพเร็ว ช่วยให้เริ่มการรักษาได้ทันท่วงที หากผลเป็นบวก
    • ลดการแพร่ระบาด ผู้ที่ทราบสถานะของตนเอง และเข้ารับการรักษามีโอกาสลดการแพร่เชื้อ
    • ความสบายใจ หากผลเป็นลบ คุณจะมีความมั่นใจ และสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างเหมาะสม
    • การวางแผนอนาคต ช่วยให้ผู้ที่วางแผนมีครอบครัวสามารถป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังลูก

    ข้อเสีย

    • ความกังวลทางอารมณ์ การรอผลตรวจ หรือผลตรวจที่เป็นบวกอาจทำให้เกิดความเครียด
    • ค่าใช้จ่าย การตรวจบางประเภท เช่น NAT มีค่าใช้จ่ายสูง
    • ผลลบลวง (False Negative) หากตรวจในช่วงที่เชื้อยังไม่แสดงผลในร่างกาย (window period) อาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อน
    • ความอาย หรืออคติในสังคม บางคนอาจลังเลที่จะตรวจเพราะกลัวการถูกตัดสินจากผู้อื่น

    ตรวจเอชไอวีได้ที่ไหนบ้าง?

    • โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน โรงพยาบาลส่วนใหญ่มีบริการตรวจเอชไอวี โดยเฉพาะในแผนกโรคติดเชื้อหรือสุขภาพทางเพศ ค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของโรงพยาบาล และสิทธิประโยชน์ที่คุณมี เช่น ประกันสุขภาพหรือบัตรทอง
    • คลินิกนิรนาม เช่น คลินิกนิรนามของกรมควบคุมโรค ที่ให้บริการตรวจเอชไอวีโดยไม่ระบุชื่อ ค่าบริการมักต่ำกว่า หรือไม่มีค่าใช้จ่ายในบางกรณี
    • ศูนย์สุขภาพชุมชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร มีหลายองค์กร เช่น องค์กรสนับสนุน LGBTQ+ หรือกลุ่มเพื่อสุขภาพทางเพศ ให้บริการตรวจเอชไอวีฟรี หรือในราคาถูก บริการเหล่านี้มักมาพร้อมคำปรึกษา และการให้ความรู้
    • ร้านขายยา และการตรวจด้วยตนเอง สามารถซื้อชุดตรวจเอชไอวีที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางการแพทย์ได้ที่ร้านขายยาหรือออนไลน์

    คำแนะนำสำหรับการตรวจเอชไอวี

    • ตรวจเป็นประจำ หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ควรตรวจเอชไอวีทุก 3-6 เดือน
    • เตรียมตัวก่อนตรวจ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการตรวจ หากคุณเลือกใช้ชุดตรวจด้วยตัวเอง ควรอ่านคำแนะนำอย่างละเอียด
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังตรวจ
      • หากผลเป็นบวก ควรเข้ารับการตรวจยืนยัน และเริ่มการรักษาทันที
      • หากผลเป็นลบ ควรใช้วิธีป้องกันอย่างต่อเนื่อง เช่น ถุงยางอนามัยหรือยา PrEP

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การตรวจเอชไอวีเป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพ และลดการแพร่ระบาดของเชื้อ การตรวจเป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันสามารถช่วยให้คุณมีชีวิตที่ปลอดภัย และสุขภาพดี หากคุณสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง อย่าลังเลที่จะเข้ารับการตรวจ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม

  • เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ เมื่อไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนเข้าสู่ระยะเอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส และโรคร้ายแรงอื่น ๆ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเอชไอวี สาเหตุ วิธีการแพร่กระจาย การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องตัวเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เอชไอวี คืออะไร?

    เอชไอวี  (HIV: Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตรง โดยเป้าหมายหลักคือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อจำนวนเซลล์ CD4 ลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อหรือโรคอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะเข้าสู่ระยะเอดส์  (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

    เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    การแพร่กระจายของเอชไอวี

    เชื้อเอชไอวี แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย เช่น

    • เลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันหรือการรับเลือดที่ไม่ปลอดภัย
    • น้ำอสุจิ และสารคัดหลั่งในช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • น้ำนมแม่ การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการให้นม
    • การสัมผัสกับของเหลวที่มีเชื้อ เช่น การมีแผลเปิด หรือการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวที่มีเชื้อในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

    • การสัมผัสทางผิวหนัง เช่น การจับมือ หรือการกอด
    • การใช้ห้องน้ำ หรือภาชนะรับประทานอาหารร่วมกัน
    • การถูกยุงกัด

    อาการของการติดเชื้อเอชไอวี

    • ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection)
      • มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดหัว และผื่นขึ้น
      • อาการเหล่านี้เกิดขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ และมักคล้ายไข้หวัดใหญ่
      • อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และท้องเสียร่วมด้วย
    • ระยะสงบ (Chronic HIV)
      • ในช่วงนี้เชื้อไวรัสจะยังคงอยู่ในร่างกาย และเพิ่มจำนวนอย่างช้า ๆ
      • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจน แต่ระบบภูมิคุ้มกันกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
    • ระยะเอดส์ (AIDS)
      • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น ปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis jirovecii หรือเชื้อราในสมอง
      • อาการในระยะนี้อาจรวมถึงน้ำหนักลดอย่างรุนแรง อ่อนเพลียเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง และแผลที่ไม่หายบนผิวหนัง
      • ผู้ป่วยอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียความจำหรือสับสน

    การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี

    • การตรวจแอนติบอดี/แอนติเจน (Antibody/Antigen Test) ตรวจหาแอนติบอดี และแอนติเจนของเชื้อเอชไอวีในเลือด สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) ตรวจหา RNA ของไวรัสโดยตรง มีความแม่นยำสูง แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น
    • การตรวจด้วยชุดตรวจตัวเอง (Self-Test) ใช้ตัวอย่างน้ำลายหรือเลือดปลายนิ้ว สามารถตรวจได้ที่บ้าน แต่ควรยืนยันผลที่สถานพยาบาล
    การรักษาเอชไอวี

    การรักษาเอชไอวี

    • ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ART เป็นวิธีการรักษาหลักที่ใช้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกันเพื่อลดปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable Viral Load) ซึ่งช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ยาที่ใช้ใน ART แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น NRTIs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors), NNRTIs (Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors), PIs (Protease Inhibitors) และ INSTIs (Integrase Inhibitors) ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อลดโอกาสดื้อยา
    • การเริ่มการรักษาเร็ว (Early Initiation of Treatment) การเริ่ม ART ทันทีที่ทราบว่าติดเชื้อสามารถช่วยลดความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
    • การติดตามผล ผู้ป่วยต้องตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อติดตามระดับ CD4 และปริมาณไวรัสในร่างกาย (Viral Load) การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคร่วมอื่น ๆ
    • การรักษาภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อราในการรักษาโรคฉวยโอกาส การดูแลภาวะโภชนาการ และสุขภาพจิตเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
    • การสนับสนุนทางจิตใจ และสังคม ผู้ป่วยควรได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุน เพื่อช่วยรับมือกับความเครียด และความกังวลที่อาจเกิดขึ้น

    การป้องกันเอชไอวี

    • การใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • ยาเพร็พ (PrEP) ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
    • ยาเป๊ป (PEP) ยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อ ควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการสัมผัส
    • การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจเอชไอวีเป็นประจำช่วยให้ทราบสถานะสุขภาพ และเริ่มการรักษาได้ทันที

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    เอชไอวีไม่ใช่คำพิพากษาให้ชีวิตต้องสิ้นสุด หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และยืนยาว การป้องกัน และการตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง และรักษาสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ การให้ความรู้ที่ถูกต้อง และการลดอคติต่อผู้ติดเชื้อในสังคมจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  • การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : ความสำคัญ และขั้นตอนที่ควรรู้

    การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : ความสำคัญ และขั้นตอนที่ควรรู้

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ และสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจของผู้ติดเชื้อได้อย่างมาก การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ฉะนั้นการให้ความสำคัญของการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความสำคัญ และขั้นตอนที่ควรรู้

    ความสำคัญของการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • การป้องกันการแพร่กระจาย ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อไปยังคู่นอนหรือผู้อื่นได้ การตรวจช่วยลดความเสี่ยงนี้
    • การรักษาอย่างทันท่วงที การตรวจพบโรคในระยะแรกช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสม และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
    • ลดภาวะแทรกซ้อน โรคบางชนิด เช่น หนองใน ซิฟิลิส หรือ HPV หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก หรือการเกิดมะเร็งได้
    • สร้างความมั่นใจในสุขภาพ การตรวจเป็นประจำช่วยให้คุณมั่นใจในสถานะสุขภาพของตนเอง และคู่ครอง

    ใครบ้างที่ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • ผู้ที่มีคู่นอนใหม่ หรือคู่นอนหลายคน
    • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น แผลบริเวณอวัยวะเพศ ปัสสาวะแสบขัด หรือผื่น
    • หญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังทารก
    • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด

    ประเภทของการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • การตรวจเลือด ใช้ตรวจหาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบบี และซี
    • การตรวจปัสสาวะ ใช้ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองในแท้ และหนองในเทียม
    • การตรวจสารคัดหลั่ง เก็บตัวอย่างจากช่องคลอด ท่อปัสสาวะ หรือบริเวณที่มีอาการผิดปกติ เช่น แผลหรือผื่น
    • การตรวจ Pap Smear สำหรับผู้หญิง ใช้ตรวจหาเชื้อ HPV และความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก
    • การตรวจทางภาพ เช่น อัลตราซาวด์หรือ MRI ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
    ขั้นตอนการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    ขั้นตอนการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • การปรึกษาแพทย์ แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • การเตรียมตัวก่อนการตรวจ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้ยารักษาเฉพาะที่ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ เพื่อความแม่นยำของผลตรวจ
    • การเก็บตัวอย่าง ตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจะถูกเก็บเพื่อส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ
    • การรอผลตรวจ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ โดยทั่วไปใช้เวลา 1-7 วัน
    • การแจ้งผล และคำแนะนำ หากผลตรวจพบเชื้อ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา และการป้องกันการแพร่เชื้อ

    การป้องกันหลังการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
    • การแจ้งคู่นอน หากพบว่าติดเชื้อ ควรแจ้งคู่นอนเพื่อเข้ารับการตรวจและรักษา
    • การใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมหรือการแพร่กระจายเชื้อ
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพของตนเอง และคู่ครอง การตรวจพบโรคในระยะแรกช่วยลดผลกระทบและป้องกันการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าละเลยการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นใจและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

  • STI/STD คืออะไร? ทุกเรื่องที่ควรรู้เพื่อป้องกัน และดูแลตัวเอง

    STI/STD คืออะไร? ทุกเรื่องที่ควรรู้เพื่อป้องกัน และดูแลตัวเอง

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI หรือ STD) คือ กลุ่มโรคที่สามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก โรคเหล่านี้สามารถเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือปรสิต และเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก การเข้าใจ และตระหนักถึงวิธีการป้องกัน และดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยง และรักษาสุขภาพทั้งกาย และใจให้แข็งแรง

    STI:STD คืออะไร? ทุกเรื่องที่ควรรู้เพื่อป้องกัน และดูแลตัวเอง


    STI/STD คืออะไร?

    STI (Sexually Transmitted Infections) และ STD (Sexually Transmitted Diseases) มีความหมายใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างเล็กน้อย

    • STI การติดเชื้อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งบางครั้งอาจไม่มีอาการแสดง เช่น การติดเชื้อ HPV ที่ไม่มีหูดปรากฏ
    • STD โรคที่เกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ ซิฟิลิส หรือเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งแสดงอาการชัดเจน

    ตัวอย่างของโรคในกลุ่มนี้ ได้แก่

    • โรคที่เกิดจากแบคทีเรีย: หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส
    • โรคที่เกิดจากไวรัส: เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ เอชไอวี
    • โรคที่เกิดจากปรสิต: พยาธิในช่องคลอด

    การแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  สามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก
    • การสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ ตกขาว เลือด
    • การสัมผัสผิวหนังที่มีรอยโรค เช่น เริมที่อวัยวะเพศหรือหูดหงอนไก่
    • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
    • การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร

    อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

    อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของโรค โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

    • ปัสสาวะแสบขัดหรือมีหนอง
    • อาการคัน ผื่น หรือตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะเพศ
    • แผลบริเวณอวัยวะเพศ หรือรอบปาก
    • ตกขาวผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น สีเปลี่ยนแปลง
    • อาการปวดในอุ้งเชิงกรานหรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

    การวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจอาการ และสอบถามประวัติสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยง
    • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือการเก็บตัวอย่างจากอวัยวะเพศ
    • การตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจ Pap smear ในผู้หญิงเพื่อตรวจหาเชื้อ HPV

    การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • เชื้อแบคทีเรีย และปรสิต ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ เช่น การรักษาหนองในแท้ ซิฟิลิส หรือพยาธิในช่องคลอด
    • เชื้อไวรัส ใช้ยาต้านไวรัส เช่น การรักษาเริม เอชไอวี หรือ HPV
    • การปฏิบัติตัวระหว่างการรักษา
      • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าการรักษาจะเสร็จสมบูรณ์
      • แจ้งคู่ครองหรือคู่นอนเพื่อรับการตรวจ และรักษา
    ผลกระทบจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการรักษา


    ผลกระทบจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการรักษา

    หากไม่ได้รับการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  อาจส่งผลกระทบร้ายแรง เช่น

    • ภาวะมีบุตรยาก จากการอักเสบในอุ้งเชิงกรานในผู้หญิง หรือผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ในผู้ชาย
    • การติดเชื้อรุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
    • การแพร่กระจายเชื้อ สู่คู่ครอง หรือทารกในครรภ์
    • ภาวะเรื้อรัง เช่น โรคเอดส์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • ใช้ถุงยางอนามัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นระยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
    • จำกัดจำนวนคู่นอน ลดความเสี่ยงโดยการมีคู่นอนเพียงคนเดียวที่ปลอดภัย
    • รับวัคซีน เช่น วัคซีน HPV และวัคซีนตับอักเสบบีช่วยลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด
    • หลีกเลี่ยงสารเสพติด ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์
    • การสื่อสารกับคู่ครอง พูดคุยเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ และการป้องกันโรคร่วมกัน

    การดูแลตัวเอง เมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน และตรงเวลา
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหายสนิท เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
    • แจ้งคู่ครองหรือคู่นอน ให้คู่ครองหรือคู่นอนทราบสถานะของโรค และเข้ารับการตรวจรักษา
    • ดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และหาเวลาผ่อนคลายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิต
    • ป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือของมีคม

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ด้วยความรู้ และการดูแลตัวเอง การใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การตรวจพบโรคในระยะแรก และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องช่วยลดผลกระทบในระยะยาว การดูแลตัวเอง และคู่ครองเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดี และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save