Author: end hiv

  • เปิดฉาก Chiang Mai  Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ ประกาศพลังแห่งความเท่าเทียมบนถนนท่าแพ

    เปิดฉาก Chiang Mai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ ประกาศพลังแห่งความเท่าเทียมบนถนนท่าแพ

    เปิดฉาก Chiang Mai Pride Month 2025

    เปิด Pride 2025 เชียงใหม่ อย่างอลังการด้วยขบวนพาเหรดสีรุ้งที่ยาวที่สุดในไทย พร้อมกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดเดือนมิถุนายน แสดงพลังของความรัก ความหลากหลาย และการยอมรับในสังคมไทย

    เชียงใหม่กลายเป็นเมืองแรกของประเทศไทยที่จุดประกาย Pride Month 2025 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ในชื่อ “Pride of Chiang Mai 2025” ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หน่วยงานท้องถิ่น และภาคธุรกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเฉลิมฉลองความเท่าเทียม สนับสนุนสิทธิมนุษยชน และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้แสดงตัวตนอย่างภาคภูมิ

    ขบวนพาเหรดที่สะกดสายตาทั้งเมือง

    กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยขบวนพาเหรดได้เคลื่อนตัวจากพุทธสถานเชียงใหม่ ผ่านถนนท่าแพอันคึกคัก จนถึงลานประตูท่าแพ จุดศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยธงสีรุ้งที่โบกสะบัด เสียงเพลง การแสดงแฟลชม็อบ และการแต่งกายหลากสไตล์จากกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วประเทศและนานาชาติ

    “มันไม่ใช่แค่ขบวนพาเหรด แต่มันคือการเดินเพื่อศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ และการยืนยันว่าพวกเราอยู่ที่นี่ และเราควรได้รับการยอมรับ” หนึ่งในผู้ร่วมขบวนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

    ขบวนปีนี้ประกอบด้วยมากกว่า 25 ขบวนย่อย ตั้งแต่กลุ่มนักศึกษา องค์กรชุมชน ศิลปิน ไปจนถึงแบรนด์ธุรกิจที่สนับสนุนความเท่าเทียม พร้อมการแสดงศิลปะบนท้องถนน และขบวนจักรยาน Pride ที่ร่วมเคลื่อนขบวนสร้างสีสัน

    กิจกรรมต่อเนื่องตลอดเดือนมิถุนายน

    Chiang Mai Pride 2025 ไม่ได้หยุดอยู่แค่วันเปิดงานเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่องตลอดเดือน เช่น

    • นิทรรศการศิลปะ “Visible Identities” ที่จัดแสดงเรื่องราวและภาพถ่ายของชาว LGBTQ+ ท้องถิ่น
    • การเสวนาเรื่องสมรสเท่าเทียม สิทธิเพศทางเลือก และสุขภาพทางเพศ ณ หอศิลป์และห้องสมุดในเขตเมือง
    • การประกวด Pride Ambassador 2025 โดยเปิดโอกาสให้ทั้งเยาวชนและผู้สูงวัย LGBTQ+ ขึ้นเวทีแสดงจุดยืน
    • ตลาดสีรุ้งและเวทีดนตรีกลางแจ้งที่สวนสาธารณะใหญ่ของเมือง พร้อมการแสดงจากศิลปินที่มีความหลากหลาย
    เปิดฉาก Chiang Mai Pride Month 2025

    กิจกรรมทั้งหมดถูกจัดขึ้นภายใต้ธีม “Power of Pride – พลังแห่งศักดิ์ศรีและการอยู่ร่วม” เพื่อย้ำเตือนถึงความสำคัญของการมีตัวตนและความกล้าหาญในการใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง

    ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและกฎหมายในปี 2025

    Pride Month 2025 จัดขึ้นในปีที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เพราะเป็นปีแรกที่พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ ทำให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้บรรยากาศของงานปีนี้เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและน้ำตาแห่งความดีใจ

    “เรารอวันนี้มา 20 ปี ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ถือมือแฟนแล้วเดินกลางขบวนพาเหรดในฐานะคู่สมรสที่ถูกกฎหมาย” คู่รักจากกรุงเทพฯ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

    กฎหมายฉบับนี้ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้การยอมรับการสมรสของเพศเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้การจัด Pride ในเชียงใหม่ปีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของความรักและสิทธิขั้นพื้นฐาน

    พลังแห่งความร่วมมือของทุกภาคส่วน

    เปิดฉาก Chiang Mai Pride Month 2025

    การจัดงาน Pride ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของภาครัฐ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เทศบาลนครเชียงใหม่ รวมถึงกลุ่มธุรกิจ โรงแรม และผู้ประกอบการในพื้นที่ที่พร้อมใจกันสนับสนุน LGBTQ+ Tourism

    หลายโรงแรมในเชียงใหม่ได้จัดแพ็กเกจพิเศษต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง Pride Month ทั้งการลดราคาที่พัก การจัดดินเนอร์สีรุ้ง และกิจกรรมต้อนรับพิเศษ เช่น เวิร์กช็อปทำธง Pride การแต่งหน้าแฟนซี และปาร์ตี้ริมสระน้ำ

    ภาคประชาสังคม เช่น เครือข่ายเพศหลากหลายเชียงใหม่ และกลุ่มเยาวชนเชียงใหม่ก็มีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องสิทธิ ความเท่าเทียม และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมให้บริการปรึกษาและตรวจสุขภาพฟรีในพื้นที่งาน

    สื่อมวลชนท้องถิ่นและนานาชาติให้ความสนใจ

    การเปิด Pride Month 2025 ที่เชียงใหม่ได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางจากสื่อทั้งในและต่างประเทศ หลายสำนักข่าวเน้นย้ำว่า ความเคลื่อนไหวในประเทศไทยแสดงถึงพัฒนาการที่โดดเด่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการผลักดันสิทธิพลเมืองของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

    นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาร่วมงานต่างแสดงความประทับใจในความเป็นมิตรของคนเชียงใหม่ การจัดงานที่เป็นระเบียบ และพลังของชุมชน LGBTQ+ ที่พร้อมผลักดันความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นในสังคม

    Pride Month 2025 ที่เชียงใหม่ไม่ใช่แค่งานเฉลิมฉลอง แต่คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

    จากขบวนพาเหรดที่สะกดทุกสายตา ไปจนถึงเวทีเสวนาเชิงลึก Chiang Mai Pride 2025 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเฉลิมฉลองความหลากหลายไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่นหรือความสนุกสนานเท่านั้น แต่คือเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสังคมไทย

    การเปิดประตูแห่งความเท่าเทียมในเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สุดของประเทศ คือการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ยอมรับ “ทุกคน” อย่างแท้จริง

  • รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อระบบผิวหนัง และเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศ มีสาเหตุจากไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ที่แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักคือ HSV-1 และ HSV-2 ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้ แม้ว่าทั่วไปแล้ว HSV-2 จะเป็นสาเหตุหลักของโรคเริมที่อวัยวะเพศ ในขณะที่ HSV-1 มักเกี่ยวข้องกับเริมที่ปากหรือริมฝีปาก แต่ปัจจุบันพบว่าทั้งสองชนิดสามารถติดเชื้อได้ทั้งบริเวณอวัยวะเพศ และปาก

    โรคเริมที่อวัยวะเพศไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจ และความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ป่วยด้วย ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคเริมที่อวัยวะเพศอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีสังเกต การรักษา และวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถป้องกัน และรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    รู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ วิธีสังเกต และดูแลอย่างถูกต้อง

    โรคเริมที่อวัยวะเพศ คืออะไร?

    โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือ โรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัส HSV ซึ่งติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อไวรัสในบริเวณอวัยวะเพศ ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลเล็ก ๆ หรือเยื่อเมือก และจะซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาทจนกว่าจะมีการกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นมา

    เริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการ และลดการแพร่เชื้อได้ด้วยยา และการดูแลตัวเอง

    สาเหตุของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    สาเหตุหลักของโรคเริมที่อวัยวะเพศคือการติดเชื้อไวรัส HSV ผ่านทาง

    • การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก
    • การสัมผัสกับแผลหรือของเหลวที่มีเชื้อไวรัส เช่น การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันที่มีเลือดหรือน้ำเหลืองติดอยู่
    • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอดในกรณีที่แม่มีการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ

    อาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    อาการเริมที่อวัยวะเพศอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย (ภาวะซ่อนเร้น) ขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรง และเกิดซ้ำได้ อาการทั่วไปที่พบบ่อย ได้แก่

    • มีตุ่มพองใสหรือแผลพุพองเล็ก ๆ บริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปากช่องคลอด รอบ ๆ ทวารหนัก หรือบริเวณขาหนีบ
    • แผลเหล่านี้จะแตกออกและกลายเป็นแผลเปื่อยที่เจ็บปวด
    • รู้สึกแสบหรือคันบริเวณที่เป็นแผล
    • บางรายอาจมีอาการเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรือมีตกขาวผิดปกติ
    • ในบางครั้งอาจมีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม 

    วิธีสังเกต และตรวจวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • สังเกตอาการเบื้องต้น หากพบตุ่มพองใสหรือแผลบริเวณอวัยวะเพศที่มีอาการเจ็บปวดร่วมกับไข้ หรือมีประวัติการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง ควรเฝ้าสังเกต และรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
    • การตรวจทางการแพทย์ แพทย์จะตรวจโดยการ
      • สอบถามประวัติทางเพศ และอาการที่เป็น
      • ตรวจร่างกายบริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณที่มีแผล
      • เจาะเลือดตรวจหาแอนติบอดีของไวรัส HSV เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ
      • ตรวจหาไวรัสจากแผลโดยตรงด้วยการเก็บตัวอย่างน้ำจากตุ่มพองไปตรวจ
    วิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    วิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศให้หายขาด แต่มีวิธีการรักษาเพื่อลดอาการ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

    • ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir ช่วยลดความรุนแรงของอาการ และลดระยะเวลาการเกิดแผล
    • การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณแผลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • การหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีอาการแผลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
    • ปรึกษาแพทย์สำหรับการรักษาต่อเนื่องในกรณีที่มีการเกิดซ้ำบ่อย

    วิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเมื่อเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นแผลด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด
    • หลีกเลี่ยงการเกาแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดแน่น
    • รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีแผล
    • แจ้งให้คู่ของตนทราบ และแนะนำให้ตรวจเชื้อ

    การป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลหรือมีอาการของโรคเริม
    • หากมีแผลควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท
    • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ในห้องน้ำ
    • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    • โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถหายขาดได้ไหม?

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันการแพร่เชื้อได้ด้วยยาและการดูแลตัวเอง

    • เริมที่อวัยวะเพศติดต่อผ่านทางไหนบ้าง?

    ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือสัมผัสกับแผลหรือน้ำเหลืองที่มีไวรัส

    • ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว ยังสามารถติดเริมได้ไหม?

    ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่ได้ป้องกันได้ 100% เนื่องจากไวรัสอาจอยู่บริเวณที่ถุงยางไม่ได้ครอบคลุม

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่พบบ่อยแต่ยังคงเป็นความเข้าใจผิดในสังคมมากมาย การรู้จักสาเหตุ อาการ วิธีสังเกต และการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพ นอกจากนี้ การป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัย และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของโรคนี้ หากสงสัยว่าตนเองมีอาการโรคเริมที่อวัยวะเพศ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และวินิจฉัยที่ถูกต้อง พร้อมรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมโรคไม่ให้ลุกลาม และลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Genital Herpes – CDC Fact Sheet. ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และการป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/herpes/stdfact-herpes.htm
    • World Health Organization (WHO). Herpes simplex virus. ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับไวรัสเริมและการแพร่ระบาด. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/herpes-simplex-virus
    • National Health Service (NHS) UK. Genital herpes. ข้อมูลอาการ การรักษา และการป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhs.uk/conditions/genital-herpes/
    • กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. โรคเริมที่อวัยวะเพศ. ข้อมูลการป้องกันและดูแล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/viralp/detail/96
    • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). โรคเริม: ความรู้และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaihealth.or.th/Content/33144-โรคเริม.html
  • วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ใช่แค่การใช้ถุงยางอนามัยหรือการตรวจโรคเป็นประจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการป้องกันล่วงหน้า ด้วยการฉีดวัคซีนที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ได้หลายชนิด และเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ รวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายรักชาย หรือผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนควรได้รับ

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ปลอดภัย คืออะไร?

    วัคซีนสำหรับเพศสัมพันธ์ปลอดภัย หมายถึง วัคซีนที่ใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ซึ่งบางโรคสามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อร่างกาย เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง การเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง หรือการกลายเป็นมะเร็งในระยะยาว

    หลักการทำงานของวัคซีนเหล่านี้ คือ การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคก่อนที่จะได้รับเชื้อจริง เมื่อเกิดการสัมผัสในภายหลัง ร่างกายจะสามารถ ตอบสนอง และกำจัดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

    วัคซีนอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

    วัคซีน HPV (HPV Vaccine)

    • ป้องกันโรค
      • มะเร็งปากมดลูก
      • มะเร็งทวารหนัก
      • มะเร็งช่องปาก และลำคอ
      • หูดหงอนไก่ (Genital warts)
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9–26 ปี เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
      • สามารถฉีดได้ถึงอายุ 45 ปี หากยังไม่เคยได้รับวัคซีน
      • เหมาะสำหรับ ทุกเพศ โดยเฉพาะกลุ่ม ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อมะเร็งทวารหนัก
    • ความสำคัญ HPV เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ และแม้ไม่แสดงอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้ การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่มะเร็งในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine)

    • ป้องกันโรค
      • ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
      • โรคตับเรื้อรัง
      • มะเร็งตับ
    • วิธีการติดเชื้อ
      • ผ่านทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
      • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
      • การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ปนเปื้อน
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • เป็นวัคซีน พื้นฐานที่เด็กไทยได้รับตั้งแต่แรกเกิด
      • ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับ หรือไม่ทราบสถานะภูมิคุ้มกัน ควรตรวจเลือด และฉีดวัคซีนให้ครบตามชุด
    • ความสำคัญ ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้ตับอักเสบแบบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ การฉีดวัคซีนครบชุดสามารถให้ภูมิคุ้มกันถาวรตลอดชีวิต

    วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)

    • ป้องกันโรค ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันที่ตับ
    • วิธีการติดเชื้อ
      • การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด
      • การสัมผัสโดยตรงกับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
      • เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ปาก (rimming)
    • กลุ่มเป้าหมาย
      • ผู้ที่มีความเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศ เช่น MSM หรือผู้มีคู่นอนหลายคน
      • ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ระบาด หรือจะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
    • ความสำคัญ ไวรัสตับอักเสบเอแม้จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง แต่สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ และยังแพร่กระจายได้ง่ายมาก การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็น

    ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน?

    วัคซีนเหล่านี้ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสี่ยงเท่านั้นที่ควรฉีด แต่ “ทุกคน” ที่เคยมี หรือกำลังจะมีเพศสัมพันธ์ควรได้รับ โดยเฉพาะ:

    • วัยรุ่น และวัยเริ่มต้นเพศสัมพันธ์
    • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
    • กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะ MSM และหญิงข้ามเพศ
    • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อ STI หรือคู่ของผู้ที่มี STI
    • คนที่ไม่เคยตรวจหรือฉีดวัคซีนตับอักเสบ
    ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเพื่อเพศสัมพันธ์ปลอดภัย

    ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเพื่อเพศสัมพันธ์ปลอดภัย

    • ป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง วัคซีนช่วยป้องกันโรคที่ไม่มียารักษาเฉพาะ เช่น HPV รวมถึงโรคที่ก่อให้เกิดมะเร็งหรือภาวะเรื้อรัง
    • ลดการแพร่เชื้อในชุมชน เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน จะเกิด ภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ
    • เพิ่มความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อรู้ว่าตนเองได้รับวัคซีนป้องกัน จะรู้สึกปลอดภัย และกล้าสื่อสารเรื่องสุขภาพกับคู่มากขึ้น
    • ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา โดยเฉพาะโรคที่ต้องรักษานาน เช่น มะเร็งตับ หรือมะเร็งปากมดลูก

    วัคซีนเหล่านี้ฉีดได้ที่ไหน?

    • สถานพยาบาลทั่วไป เช่น โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน
    • คลินิกเฉพาะทางด้านวัคซีน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • คลินิกนิรนาม
    • บางจังหวัดมีบริการฟรีสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ในโครงการป้องกันเอดส์

    ควรสอบถามก่อนเข้ารับบริการ ว่ามีวัคซีนชนิดใดบ้าง ราคาเท่าไร และต้องฉีดกี่เข็ม

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวัคซีน และเพศสัมพันธ์

    Q: ฉีดวัคซีนแล้ว ยังต้องใช้ถุงยางไหม?

    A: ใช่! วัคซีนป้องกันได้บางโรค แต่ไม่ได้ป้องกันทั้งหมด เช่น หนองใน ซิฟิลิส หรือ HIV จึงยังต้องใช้ถุงยางอนามัยเสมอ

    Q: วัคซีนมีผลข้างเคียงไหม?

    A: อาจมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยเล็กน้อย หรือมีไข้เล็กน้อยในบางราย แต่ไม่อันตราย

    Q: ต้องตรวจเลือดก่อนฉีดไหม?

    A: บางวัคซีน เช่น ตับอักเสบบี อาจตรวจเลือดก่อนเพื่อดูว่ามีภูมิอยู่แล้วหรือไม่

    Q: ต้องฉีดกี่เข็ม? ต้องฉีดซ้ำไหม?

    A:  HPV: ฉีด 2–3 เข็มภายใน 6 เดือน ขึ้นกับอายุ,  Hepatitis A และ B: ต้องฉีดครบชุด (2–3 เข็ม) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันถาวร และไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำทุกปี ยกเว้นตามคำแนะนำของแพทย์

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    วัคซีนเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้จำกัดแค่รูปแบบเดียว การรู้จัก และเข้าถึงวัคซีนที่เหมาะสมจึงเป็นการดูแลตัวเอง และคนรอบข้างให้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    หากคุณยังไม่เคยตรวจภูมิ หรือยังไม่เคยรับวัคซีนเหล่านี้ ถึงเวลาที่ควรเริ่มวางแผนเพื่อ “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันนี้

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HPV Vaccination Overview. Information on recommended ages, vaccine benefits, and effectiveness. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hpv/parents/vaccine.html
    • World Health Organization (WHO). Immunization in the Western Pacific: Hepatitis B. Global guidelines on hepatitis B vaccination and prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/westernpacific/health-topics/hepatitis/regional-hepatitis-programme/hepatitis-b
    • Immunization Action Coalition. Hepatitis A and B Vaccination Information. Resources on how vaccines protect against liver infections. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.immunize.org/hepatitis
    • กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลวัคซีน HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบในกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไป. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนในมิติของสุขภาพทางเพศ. แนวคิดและนโยบายสาธารณะด้านวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nationalhealth.or.th
  • อย่ามองข้าม! โลน และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    อย่ามองข้าม! โลน และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    แม้ว่าโลน หรือ เหาโลน จะไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มที่ร้ายแรงอย่างเอชไอวี หรือซิฟิลิส แต่การติดโลนก็เป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และอาจมาพร้อมกับการติดโรคอื่น ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว การเข้าใจว่าโลนคืออะไร ติดต่อได้อย่างไร และเชื่อมโยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่ใส่ใจในสุขภาพทางเพศ

    อย่ามองข้าม! โลน และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    โลนคืออะไร?

    โลน หรือเหาโลน (Pubic Lice)  หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Pthirus pubis  เป็นแมลงปรสิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ตามขนในบริเวณอวัยวะเพศ โดยติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนได้ง่ายผ่านการสัมผัสทางร่างกายอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน โลนจะเคลื่อนย้ายจากร่างกายของผู้ติดเชื้อไปยังร่างกายของผู้อื่นผ่านการสัมผัสกับขนที่อยู่ติดผิวหนัง ไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่ทางเพศก็สามารถแพร่เชื้อได้

    นอกจากการมีเพศสัมพันธ์แล้ว โลนยังสามารถติดต่อผ่านทางอ้อม เช่น การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน หรือเสื้อผ้า โดยเฉพาะหากเป็นของที่สัมผัสกับบริเวณขนเพชรโดยตรง แม้ในบางกรณีที่หายาก โลนอาจติดต่อผ่านพื้นผิวที่มีความชื้น เช่น ที่นั่งห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด แต่โอกาสเหล่านี้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการติดต่อโดยตรงผ่านกิจกรรมทางเพศ

    โลนเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างไร?

    แม้โลนจะไม่จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตามนิยามทางการแพทย์แบบเคร่งครัด แต่การพบโลนในผู้ป่วยมักเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง และบ่อยครั้งพบร่วมกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ เช่น หนองใน (Gonorrhea), ซิฟิลิส (Syphilis), เริม (Herpes simplex virus) และไวรัส HPV

    การมีโลนจึงไม่ใช่เพียงปัญหาความไม่สบายตัว แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม เช่น การมีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่ได้ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ

    นอกจากนี้ อาการคันจากโลนมักทำให้เกิดการเกา ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลหรือรอยถลอกเล็ก ๆ บริเวณผิวหนัง ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่เชื้อโรค เช่น เชื้อเอชไอวี สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะหากมีการสัมผัสกับของเหลวหรือเลือดจากคู่ที่ติดเชื้อ

    อาการของการติดโลน

    ผู้ที่ติดโลนมักมีอาการค่อนข้างชัดเจน โดยอาการหลักที่พบคือ อาการคันอย่างรุนแรง บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาการจะรุนแรงเป็นพิเศษในช่วงกลางคืนเมื่อโลนออกมาดูดเลือด อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่

    • อาการคันบริเวณโคนขนเพชรหรืออวัยวะเพศ พร้อมด้วยตุ่มแดงหรือแผลเล็ก ๆ จากการเกา
    • พบจุดเลือดเล็ก ๆ หรือไข่ของโลน (nits) ติดอยู่ที่โคนขน มองเห็นเป็นจุดขาวหรือสีเทาอมเหลือง
    • ในบางรายอาจพบโลนหรือไข่ที่ขนบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น รักแร้ คิ้ว ขนหน้าอก หรือหนวดเครา โดยเฉพาะในผู้ที่มีขนหนาแน่น

    การติดโลนไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ก่อให้เกิดความไม่สบายตัว และสร้างความวิตกกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะหากเกิดร่วมกับการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ จึงควรได้รับการตรวจ และรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา

    การวินิจฉัยโลน

    การวินิจฉัยการติดโลน สามารถทำได้โดยอาศัยการตรวจร่างกายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะตรวจดูบริเวณที่มีอาการคันหรือพบตุ่มแดง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ขนหน้าอก ขาหนีบ รักแร้ หรือแม้แต่คิ้ว และขนตาในบางกรณี

    การตรวจจะใช้กล้องขยายชนิดพิเศษ (Dermatoscope หรือ Magnifying lens) เพื่อค้นหาแมลงตัวเต็มวัยหรือไข่ของโลนที่เกาะอยู่บริเวณโคนขน ซึ่งมักมีลักษณะเป็นจุดขาวหรือสีเหลืองซีดขนาดเล็ก หากพบแมลงที่ยังมีชีวิตหรือร่องรอยของไข่ แพทย์จะสามารถยืนยันการวินิจฉัยได้ทันที

    ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อพบว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีอาการอื่นที่เกี่ยวข้อง แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือ HIV เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้ออื่นซ้อนอยู่ ซึ่งจะช่วยให้วางแผนการรักษาได้อย่างครอบคลุม และปลอดภัย

    การรักษาโลน

    การรักษาโลน

    เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโลน การรักษาจะเน้นที่การกำจัดแมลงตัวเต็มวัย และไข่ให้หมดไป รวมถึงการป้องกันการแพร่เชื้อหรือการติดซ้ำ โดยแนวทางการรักษาที่ได้ผลและนิยมใช้ มีดังนี้:

    • การใช้ยาฆ่าแมลงเฉพาะที่ ยาที่แนะนำคือ permethrin 1% cream หรือ lotion ซึ่งสามารถหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป โดยให้ทายาให้ทั่วบริเวณที่ติดเชื้อ รวมถึงโคนขน และทิ้งไว้ตามเวลาที่ระบุในฉลาก จากนั้นล้างออก และอาจต้องทาซ้ำใน 7–10 วันหากยังพบไข่หรืออาการคัน
    • การซักผ้า และของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวที่อาจมีการสัมผัสกับร่างกายของผู้ติดโลน ควรซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิอย่างน้อย 50–60 องศาเซลเซียส และตากแดดหรืออบแห้งให้สนิท เพื่อฆ่าไข่หรือแมลงที่อาจติดอยู่
    • การโกนขนบริเวณที่ติดเชื้อ แม้ไม่ใช่วิธีรักษาหลัก แต่การโกนขนบริเวณที่มีการติดเชื้อช่วยลดจำนวนไข่ที่เกาะติด และช่วยให้ยาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • การรักษาคู่นอนพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดซ้ำ คู่นอนทุกคนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ควรได้รับการตรวจ และรักษาไปพร้อมกัน แม้ไม่มีอาการก็ตาม เพราะโลนสามารถซ่อนตัว และแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการชัดเจน

    วิธีป้องกันการติดโลน

    แม้การรักษาโลนจะสามารถทำได้ง่าย และได้ผลในเวลาไม่นาน แต่การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำหรือมีคู่นอนหลายคน ดังนี้:

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ แม้ถุงยางจะไม่สามารถป้องกันโลนได้ 100% เนื่องจากโลนสามารถเกาะที่ขนบริเวณอื่นได้ แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่ออื่น ๆ ได้อย่างมาก
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ทราบสถานะทางสุขภาพ การรู้จัก และไว้ใจคู่นอน รวมถึงการตรวจสุขภาพร่วมกันก่อนมีเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันได้ทั้งโลน และ STI
    • ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นหากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ และของใช้ส่วนตัว หมั่นล้างทำความสะอาดบริเวณขนเพชร และอวัยวะเพศทุกวัน เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าเป็นประจำ
      ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม หรือชุดชั้นใน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโลนหรือแม้แต่โรคผิวหนังอื่น ๆ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โลนอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วอาจเป็น สัญญาณเตือน ว่าคุณหรือคู่ของคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง และอาจกำลังเผชิญกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว อย่ามองข้ามอาการคันหรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทางเพศระยะยาวได้

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Pubic Lice (Crabs) – Symptoms and Treatment. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/parasites/lice/pubic/index.html
    • U.S. National Library of Medicine. MedlinePlus – Pubic Lice. Trusted information on diagnosis, treatment, and prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/pubiclice.html
    • World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs). Overview of infections, prevention and control. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: โรคพยาธิภายนอก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease/
    • สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.). สุขภาพทางเพศ: เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nationalhealth.or.th/health-issue/sexual-health
  • โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกัน และการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกัน และการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน มักเกิดจากเชื้อปรสิตที่ชื่อว่า Trichomonas vaginalis การติดเชื้อนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศ แต่ยังทำให้เกิดความไม่สบาย และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร? วิธีป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง

    โรคพยาธิในช่องคลอด คืออะไร?

    โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อจะอาศัยอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิง และท่อปัสสาวะของผู้ชาย นอกจากนี้ ยังสามารถแพร่ผ่านการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันในบางกรณี แม้พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่ผู้ชายที่ติดเชื้อก็มักไม่แสดงอาการ ทำให้เป็นพาหะในการแพร่เชื้อต่อได้

    โรคพยาธิในช่องคลอด ติดได้อย่างไร?

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักกับผู้ที่ติดเชื้อ
    • ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน หรือของใช้ที่เปื้อนสารคัดหลั่ง
    • การสัมผัสกับอุปกรณ์หรือของเล่นทางเพศ ที่ไม่ผ่านการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง

    อาการของโรคพยาธิในช่องคลอด

    • คันในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะเพศ เป็นอาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง ผู้ติดเชื้อจะรู้สึก คันหรือแสบที่ช่องคลอด แคมปากช่องคลอด หรืออวัยวะเพศภายนอก ร่วมกับอาการระคายเคือง เช่น แสบเมื่อสัมผัสหรือเสียดสี อาจเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อเชื้อพยาธิที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ

    • ตกขาวผิดปกติ ผู้หญิงที่ติดเชื้อมักมี ตกขาวมากกว่าปกติ โดยลักษณะของตกขาวจะมี สีเขียว เหลือง หรืออมเทา มีลักษณะเป็นฟอง และมีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า (fishy odor) กลิ่นนี้มักจะแรงขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ และเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างจำเพาะเจาะจงของโรคพยาธิในช่องคลอด

    • ปัสสาวะแสบขัด หรือรู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ เมื่อเชื้อพยาธิลุกลามไปยังท่อปัสสาวะ (urethra) จะทำให้เกิดการอักเสบ และระคายเคือง ส่งผลให้รู้สึกแสบ ปวด หรือขัดขณะปัสสาวะ ในบางรายอาจมีอาการคล้ายติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

    • เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก เยื่อบุช่องคลอดเกิดการอักเสบ ระคายเคือง และมีความแห้ง หรือมีการหลั่งตกขาวจำนวนมากที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเพศ

    • อาการในผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายมักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในบางรายอาจมีอาการได้ เช่น
      • คันหรือรู้สึกแสบที่ปลายอวัยวะเพศ
      • มีสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ
      • แสบหรือปวดขณะปัสสาวะ
      • รู้สึกไม่สบายบริเวณถุงอัณฑะหรืออัณฑะ

    อาการเหล่านี้มักไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ชายจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นพาหะ และยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้

    การรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด

    การรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด

    • การพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การวินิจฉัยที่แม่นยำเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคนี้ โดยแพทย์จะเก็บ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด (ในผู้หญิง) หรือ ปัสสาวะ (ในผู้ชาย) ไปตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาจใช้วิธี
      • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy) เพื่อตรวจหาพยาธิ Trichomonas
      • การเพาะเชื้อ (Culture) หรือการตรวจด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา เช่น NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ซึ่งมีความแม่นยำสูง การตรวจเหล่านี้จะช่วยยืนยันการติดเชื้อ และแยกโรคนี้ออกจากการติดเชื้อชนิดอื่น ๆ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย หรือหนองใน

    • การใช้ยาปฏิชีวนะ การรักษาหลักของโรคพยาธิในช่องคลอดคือการใช้ยา กลุ่ม Nitroimidazole ได้แก่ Metronidazole (เมโทรนิดาโซล) และTinidazole (ทินิดาโซล) โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นยาแบบรับประทาน (กิน) และแพทย์อาจสั่งให้ กินครั้งเดียวในขนาดสูง (single dose)
      หรือ กินต่อเนื่องวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5–7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และปัจจัยเฉพาะบุคคล

      ข้อควรระวัง ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยา เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องกินยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการหยุดยาเองจะเพิ่มความเสี่ยงในการดื้อยา และเกิดซ้ำ

    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา การมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการรักษา อาจทำให้เชื้อไม่หายขาด เกิดการติดเชื้อซ้ำจากคู่นอน แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

      คำแนะนำ ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าทั้งผู้ป่วย และคู่นอนจะได้รับการรักษาจนครบ และไม่มีอาการแล้ว

    • รักษาพร้อมกับคู่นอน แม้คู่นอนจะไม่มีอาการ ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่มีอาการของโรคนี้ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น คู่นอนทุกคนในช่วง 60 วันก่อนเริ่มมีอาการ ควรได้รับการตรวจ และรักษาพร้อมกัน หากไม่รักษาพร้อมกัน จะทำให้เกิด “วงจรติดเชื้อซ้ำ (ping-pong infection)” ซึ่งรักษายากขึ้น

    • การติดตามผลหลังการรักษา แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแล้วก็ตาม แต่ควรมีการ ติดตามผลซ้ำหลังจากรักษาครบแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหายขาดแล้ว หากยังมีอาการ หรือมีอาการกลับมาอีก อาจต้องตรวจซ้ำ และใช้ยาชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ต้องแจ้งแพทย์เพื่อเลือกการรักษาที่ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

    แนวทางปฏิบัติที่ควรทำร่วมกับการรักษา

    สิ่งที่ควรทำเหตุผล
    ไปพบแพทย์ และตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อระบุเชื้อ และเลือกยาที่เหมาะสม
    กินยาครบตามแพทย์สั่งเพื่อให้เชื้อหายขาด
    งดเว้นเพศสัมพันธ์ชั่วคราวลดโอกาสการแพร่ และติดเชื้อซ้ำ
    รักษาพร้อมกับคู่นอนป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และการระบาด
    ตรวจติดตามผลหลังรักษายืนยันว่าเชื้อหายสนิท


    วิธีการป้องกันโรคพยาธิในช่องคลอด

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผ้าเช็ดตัวหรือชุดชั้นใน
    • ทำความสะอาดอุปกรณ์ และของเล่นทางเพศอย่างถูกวิธี หลังใช้งานทุกครั้ง
    • ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ ทุก 6 เดือน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาได้ หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การใช้ถุงยางอนามัย การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก หากสงสัยว่าติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม และปลอดภัย เพื่อสุขภาพทางเพศที่ดี และความมั่นใจในทุกความสัมพันธ์

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Trichomoniasis – CDC STD Treatment Guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/treatment-guidelines/trichomoniasis.htm
    • World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs): Key facts. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
    • British Association for Sexual Health and HIV (BASHH). UK National Guideline for the Management of Trichomonas vaginalis 2014. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.bashhguidelines.org/media/1064/tv-2014-uk-guideline-update.pdf
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. พยาธิช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาได้. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/news/news_detail.php?news=25792&dept=97
    • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.). โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ความรู้เบื้องต้น. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hsri.or.th/researcher/research/new-release/detail/11832
  • Love2Test ก้าวสำคัญสู่อนาคตการดูแลสุขภาพทางเพศในประเทศไทย

    Love2Test ก้าวสำคัญสู่อนาคตการดูแลสุขภาพทางเพศในประเทศไทย

    เอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในระดับสาธารณสุข ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก แม้ว่าปัจจุบันวงการแพทย์จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นยาต้านไวรัส (ART) การพัฒนาเครื่องมือป้องกันเอชไอวี และการสร้างองค์ความรู้ด้านการแพทย์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ประชาชน แต่สถานการณ์การแพร่เชื้อเอชไอวียังคงท้าทายให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

    จากรายงานปี 2023 พบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกมากถึง 39.9 ล้านคน และคาดว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 1.3 ล้านคนต่อปี แม้ว่าแนวโน้มการติดเชื้อในภาพรวมหลายพื้นที่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต แต่กลับยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมาย “95-95-95” ของ UNAIDS ที่ตั้งเป้าให้

    1. มี 95% ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทราบสถานะของตน
    2. 95% ของผู้ที่ทราบสถานะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART)
    3. 95% ของผู้ที่ได้รับการรักษาสามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้
      ภายในปี 2030

    การจะไปถึงจุดหมายดังกล่าว จำเป็นต้องมีการขยายบริการด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับเอชไอวีให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับความสะดวกและการเข้าถึงกลุ่มประชากรที่ยังไม่ค่อยได้รับบริการทางการแพทย์อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังต้องเน้นการลดอคติและการตีตรา (stigma) อันเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีความเสี่ยงไม่เข้ารับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที

    ยุคดิจิทัลกับการดูแลสุขภาพ

    ในยุคปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและบริการทางการแพทย์ได้อย่างกว้างขวาง การพัฒนาระบบนัดหมายออนไลน์ การติดตามผลตรวจผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงการให้คำปรึกษาแบบออนไลน์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้ผู้ป่วยและผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาพได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิวนาน

    Love2Test.org ก็ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนี้ ภายใต้แนวคิดสำคัญคือ “การทำให้การตรวจและการรักษาเอชไอวีเป็นเรื่องง่ายและครอบคลุมสำหรับทุกคน” ซึ่งถูกพัฒนาโดย มูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation) ภายใต้การนำของ คุณปัญญาพล พิพัฒน์คุณอานนท์ ผู้ก่อตั้งและหัวเรือใหญ่ในการคิดค้นและบริหารแพลตฟอร์มนี้

    จุดเด่นของ Love2Test อยู่ที่ความมุ่งมั่นในการเข้าถึง “กลุ่มประชากรที่มักไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่าย” และ “กลุ่มเสี่ยงสูง” ซึ่งเป็นประชากรที่มีโอกาสติดเชื้อหรือแพร่เชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ด้วยการสร้างระบบที่ให้ความสำคัญกับความสะดวก (Convenience) และความเป็นส่วนตัว (Privacy) เป็นพิเศษ ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกอุ่นใจและเปิดกว้างในการขอรับการตรวจและการรักษาได้มากขึ้น

    ฟีเจอร์เด่นและบริการครบวงจร

    จองคิวออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่คลินิกเพื่อนัดหมายล่วงหน้า หรือรอคิวยาว ๆ อีกต่อไป เพียงเข้าสู่เว็บไซต์ www.Love2Test.org หรือใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน Love2Test บน iOS และ Android ก็สามารถเลือกวันและเวลาที่สะดวกได้ทันที ระบบจะยืนยันและส่งข้อมูลการนัดหมายให้ผู้ใช้ผ่าน SMS หรืออีเมล ทำให้ไม่พลาดการติดตามผลหรือนัดหมายต่าง ๆ

    ครอบคลุมบริการหลากหลาย

    • ตรวจเอชไอวี (HIV Testing): มีทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับโครงการและความพร้อมของผู้ใช้บริการ
    • การตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs Testing & Treatment): รวมถึงโรคหนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และอื่น ๆ
    • PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): ยาป้องกันเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ แต่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ
    • PEP (Post-Exposure Prophylaxis): ยาป้องกันภายหลังได้รับเชื้อหรือมีความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน
    • บริการฮอร์โมนและให้คำปรึกษาสุขภาพอื่น ๆ: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับฮอร์โมน หรือมีข้อสงสัยด้านสุขภาพเฉพาะทางเพิ่มเติม

    ความเป็นส่วนตัวและการเก็บข้อมูลเป็นความลับ

    Love2Test ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้บริการอย่างยิ่ง ข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาด้วยมาตรการที่เข้มงวด และจะไม่เปิดเผยต่อบุคคลที่สามโดยปราศจากความยินยอมของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการด้านสุขภาพโดยไม่ต้องกังวลกับการถูกตีตราหรือโดนเลือกปฏิบัติ

    เครือข่ายคลินิกพันธมิตรทั่วประเทศ

    Love2Test จับมือร่วมกับคลินิกที่มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือในทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกสาขาคลินิกที่สะดวกใกล้บ้านหรือที่ทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาเดินทางและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

    แจ้งเตือนนัดผ่าน SMS และอีเมล
    เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ระบบจะส่ง SMS หรืออีเมลแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อยืนยันนัดหมายและเตือนให้ผู้ใช้เตรียมตัวล่วงหน้า ฟีเจอร์นี้ช่วยป้องกันการลืมหรือการผิดนัด หมดห่วงเรื่องการพลาดโอกาสที่จะได้รับการตรวจหรือรับยาตามกำหนด

    Love2Test กับการลดการตีตรา (Stigma) ในสังคม

    Love2Test

    หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดของเอชไอวีเป็นไปได้ยาก คือ การตีตราและอคติ ที่ผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีความเสี่ยงอาจเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเลือกปฏิบัติ การถูกกล่าวหา หรือการถูกลดทอนคุณค่าในสังคม Love2Test มุ่งมั่นที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Space) และลดความรู้สึกหวาดกลัวต่อการถูกตีตรา ด้วยการเสนอบริการที่เป็นมิตรและเคารพความเป็นส่วนตัว โดยทำให้ทุกกระบวนการตั้งแต่การจองคิวไปจนถึงการรับยาหรือการให้คำปรึกษาเกิดขึ้นได้ผ่านช่องทางดิจิทัลแบบส่วนตัว

    นอกจากนี้ Love2Test ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเนื้อหาด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ มุ่งเน้นให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ลดความเข้าใจผิด และส่งเสริมทัศนคติที่เป็นบวกต่อผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

    ใครบ้างเหมาะกับการใช้ Love2Test?

    • บุคคลทั่วไป ที่ต้องการตรวจหาเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ เพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง
    • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีด ผู้ให้บริการทางเพศ และกลุ่มชายรักชาย (MSM)
    • ผู้ที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยาก เช่น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผู้ที่กังวลเรื่องเวลาในการทำงาน หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางไปคลินิกเป็นประจำ
    • ผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลกับคนรอบข้าง
    • ผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านสุขภาพทางเพศ ทั้งเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรับยา PrEP และ PEP รวมถึงการวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยง

    ช่องทางการใช้งาน Love2Test

    1. เว็บไซต์:www.Love2Test.org
      • สามารถสมัครสมาชิก จองคิว และตรวจสอบเครือข่ายคลินิกได้โดยตรง
      • มีข้อมูลและบทความด้านสุขภาพทางเพศ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ
    2. แอปพลิเคชัน:
      • iOS (App Store): Love2Test บน iOS
      • Android (Play Store): Love2Test บน Android
      • ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว สามารถเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัว การจองคิว และผลการตรวจได้ในที่เดียว
    3. Line Official Account:
      • เพิ่มเพื่อนด้วยการค้นหา @love2test หรือคลิกที่ลิงก์ https://lin.ee/WktwmXC
      • เลือกเมนู “จองคิว” กรอกข้อมูลพื้นฐาน และระบุวันเวลาที่สะดวกสำหรับการเข้าตรวจ
      • ระบบจะยืนยันนัดหมายพร้อมส่งแจ้งเตือนผ่านแชท ทำให้ง่ายต่อการติดตาม

    Love2Test: ก้าวสำคัญสู่อนาคตของการดูแลสุขภาพทางเพศในประเทศไทย

    ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นธรรม Love2Test มุ่งมั่นจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบและวัฒนธรรม เกี่ยวกับการตรวจและการรักษาเอชไอวีในประเทศไทย การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความสะดวกเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้คนในสังคมกล้า “ออกมา” และ “ตรวจเช็กสุขภาพ” ของตนเองได้มากขึ้นโดยปราศจากความกลัว

    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบในการบริการทางการแพทย์ สามารถช่วยลดภาระของสถานพยาบาล ลดเวลารอคอยของผู้รับบริการ และเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยตกหล่นหรือขาดโอกาสสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมมากขึ้น นี่ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการยุติการแพร่ระบาดของเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อย่างยั่งยืน

    เริ่มดูแลสุขภาพของคุณได้แล้ววันนี้

    หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการตรวจเอชไอวี รวมถึงรับบริการทางการแพทย์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง Love2Test.org เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ

    1. ลงทะเบียนใช้งานผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
    2. เลือกบริการที่ต้องการ
    3. จองคิวในวันและเวลาที่คุณสะดวก
    4. เข้ารับการตรวจและคำปรึกษาจากคลินิกพันธมิตรที่คุณเลือก
    5. ติดตามผลตรวจและคำแนะนำจากทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

    มาร่วมสร้างสังคมที่ปราศจากการตีตราและความกลัวต่อเอชไอวีไปด้วยกัน ด้วยการใช้เทคโนโลยีเป็นสะพานเชื่อมโยงทุกคนเข้ากับบริการสุขภาพและข้อมูลที่ถูกต้อง อย่ารอช้า ดูแลสุขภาพทางเพศของคุณ ตั้งแต่วันนี้กับ Love2Test.org และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่ออนาคตที่แข็งแรงและเท่าเทียมสำหรับทุกคน!

  • ตุ่ม PPE กับ HIV อาการทางผิวหนังที่บอกสัญญาณสุขภาพ

    ตุ่ม PPE กับ HIV อาการทางผิวหนังที่บอกสัญญาณสุขภาพ

    ตุ่ม PPE (Pruritic Papular Eruption) เป็นภาวะทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่สามารถใช้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตุ่ม PPE มักมีลักษณะเป็นตุ่มแดง คัน และกระจายตัวไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา และลำตัว อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ติดเชื้อ HIV ทุกระยะ แต่พบบ่อยขึ้นในผู้ที่มีระดับ CD4 ต่ำ

    ตุ่ม PPE กับ HIV อาการทางผิวหนังที่บอกสัญญาณสุขภาพ

    ตุ่ม PPE คืออะไร? และเกี่ยวข้องกับ HIV อย่างไร?

    ตุ่ม PPE (Pruritic Papular Eruption) เป็นกลุ่มอาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³ อาการนี้เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อไวรัส HIV และการอักเสบของผิวหนัง

    ความเกี่ยวข้องระหว่างตุ่ม PPE กับ HIV

    • เป็นสัญญาณของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงมักไม่เกิดตุ่ม PPE ดังนั้นเมื่อพบอาการนี้ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ควรเข้ารับการตรวจ HIV ทันที
    • เกี่ยวข้องกับระดับ CD4 ในร่างกาย ยิ่งระดับ CD4 ต่ำ โอกาสเกิดตุ่ม PPE จะสูงขึ้น เนื่องจากร่างกายสูญเสียความสามารถในการควบคุมการอักเสบ และป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคอื่น ๆ
    • เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบแอฟริกาและเอเชียที่มีอัตราการติดเชื้อ HIV สูง

    สาเหตุของตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV ได้แก่

    • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อร่างกายมีระดับ CD4 ต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันจะไม่สามารถควบคุมการอักเสบของผิวหนังได้
    • การตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อ HIV เพราะHIV สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง และทำให้เกิดตุ่ม PPE ได้
    • การสัมผัสแสงแดด (Photosensitivity) ผู้ติดเชื้อ HIV มักมีผิวที่ไวต่อแสงแดด ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดตุ่ม PPE ได้
    • การติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือเชื้อรา ผู้ติดเชื้อ HIV มักมีแนวโน้มเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งอาจทำให้ตุ่ม PPE รุนแรงขึ้น

    อาการของตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    อาการของตุ่ม PPE มีความชัดเจน และสามารถสังเกตได้ง่าย ซึ่งมักมีลักษณะดังนี้

    อาการของตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ง่าย โดยมักเกิดขึ้นในผู้ที่มี ระดับ CD4 ต่ำ และมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    ลักษณะของตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    • ตุ่มแดงนูนขนาดเล็ก (Papular Lesions) เช่น ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 1-5 มิลลิเมตร มีลักษณะเป็นตุ่มนูนหรือผื่นแดง ไม่เป็นตุ่มน้ำหรือมีหนอง
    • คันรุนแรง (Pruritus) อาการคันเป็นอาการหลักที่พบได้เกือบทุกกรณี หรืออาการคันมักรุนแรง และทำให้เกิดความรำคาญ
    • ตำแหน่งที่พบตุ่ม PPE บ่อย เช่น แขน ขา ลำตัว ไหล่ บางครั้งพบที่ใบหน้า แต่ไม่พบบริเวณฝ่ามือ และฝ่าเท้า
    • เกิดขึ้นเรื้อรัง และเป็นซ้ำ อาการตุ่ม PPE มักเกิดขึ้นต่อเนื่อง และไม่หายไปเอง หากไม่ได้รับการรักษา HIV อาการจะรุนแรงขึ้น และมีจำนวนตุ่มเพิ่มขึ้น
    • แผลที่เกิดจากการเกา เนื่องจากอาการคันรุนแรง ผู้ป่วยมักเกาตุ่มจนเกิดแผลถลอก อาจนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
    • ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป ตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV มักไม่ตอบสนองต่อยารักษาผื่นคันทั่วไป จำเป็นต้องรักษาที่ต้นเหตุโดยใช้ ยาต้านไวรัส HIV (ART)

    หากพบอาการตุ่ม PPE ควรเข้ารับการตรวจ HIV และรับการรักษาโดยเร็วเพื่อลดความรุนแรงของอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    วิธีการวินิจฉัยตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    การวินิจฉัยตุ่ม PPE ทำได้โดย

    • การตรวจร่างกายโดยแพทย์ แพทย์จะตรวจลักษณะของตุ่ม และตำแหน่งที่เกิด
    • การซักประวัติทางการแพทย์ ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV หรือไม่
    • การตรวจระดับ CD4 หาก CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³ มีโอกาสสูงที่ตุ่ม PPE จะเกี่ยวข้องกับ HIV
    • การตรวจหาเชื้อ HIV หากผู้ป่วยยังไม่ทราบสถานะการติดเชื้อ HIV แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจหาเชื้อ HIV ด้วย
    การรักษาตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    การรักษาตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    เนื่องจากตุ่ม PPE เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การรักษาหลักจึงมุ่งเน้นไปที่การควบคุมระดับ HIV และการบรรเทาอาการคัน

    • การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) การใช้ ยาต้านไวรัส HIV (ART) สามารถช่วยเพิ่มระดับ CD4 และลดอาการตุ่ม PPE ได้
    • เมื่อภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ตุ่ม PPE จะค่อย ๆ ลดลง และหายไป
    • การใช้ยารักษาอาการคัน ได้แก่ ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เช่น Loratadine, Cetirizine หรือ ครีมสเตียรอยด์ (Topical Steroids) เช่น Hydrocortisone, Betamethasone
    • หลีกเลี่ยงแสงแดด การใช้ ครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) สามารถช่วยลดอาการตุ่ม PPE ที่เกิดจากการสัมผัสแสงแดด
    • การดูแลผิวพรรณ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง ใช้ ครีมบำรุงผิว (Moisturizer) เพื่อป้องกันผิวแห้ง

    การป้องกันตุ่ม PPE ในผู้ติดเชื้อ HIV

    การป้องกันตุ่มในผู้ติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญในการลดความรุนแรงของอาการคัน และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย และรอยแผลเป็นจากการเกา การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องสามารถช่วยควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    • ใช้ยาต้านไวรัส HIV อย่างสม่ำเสมอ
      • การรับประทานยาต้านไวรัส HIV (ART: Antiretroviral Therapy) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
      • ยาต้านไวรัสช่วยเพิ่มระดับ CD4 และลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ซึ่งช่วยลดอาการของตุ่ม PPE
      • หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาการตุ่ม PPE มักจะค่อย ๆ ดีขึ้นหรือหายไป
    • ดูแลสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
      • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน และวิตามิน
      • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
      • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
    • ป้องกันการติดเชื้อร่วม เช่น แบคทีเรีย และเชื้อรา
      • รักษาความสะอาดของร่างกายโดย อาบน้ำทุกวัน และใช้สบู่อ่อน ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
      • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารเคมีแรง เช่น แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสียที่อาจทำให้ผิวแห้ง และคันมากขึ้น
      • หากมีตุ่ม PPE ควรใช้ครีมหรือยาทาสำหรับลดการอักเสบตามที่แพทย์แนะนำ
    • หลีกเลี่ยงการเกาเพื่อลดโอกาสเกิดแผล และการติดเชื้อแทรกซ้อน
      • อาการคันจากตุ่ม PPE อาจรุนแรงจนทำให้เกิดการเกา ซึ่งอาจนำไปสู่แผลเปิด และการติดเชื้อแบคทีเรีย
      • ตัดเล็บให้สั้น และสะอาด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขีดข่วนและเกิดแผลลึก
      • ใช้ครีมบำรุงผิว หรือยาสเตียรอยด์อ่อน ๆ เพื่อลดอาการคัน (ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา)
    • หลีกเลี่ยงแสงแดด และปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ
      • แสงแดดสามารถทำให้ตุ่ม PPE รุนแรงขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นเวลานาน
      • ใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และสวมเสื้อแขนยาวเมื่อต้องออกไปข้างนอก
      • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น น้ำหอม โลชั่น หรือผงซักฟอกที่มีสารเคมีแรง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ตุ่ม PPE เป็นอาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะในผู้ที่มีระดับ CD4 ต่ำ แม้ว่าตุ่ม PPE จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังถูกทำลาย ดังนั้น การเริ่มใช้ยาต้านไวรัส HIV อย่างเหมาะสม การดูแลสุขภาพ และการใช้ยาเพื่อลดอาการคันสามารถช่วยควบคุมอาการตุ่ม PPE ได้ หากคุณมีอาการตุ่ม PPE หรือสงสัยว่าตนอาจติดเชื้อ HIV ควรรีบเข้ารับการตรวจสุขภาพ และปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม และมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV and Skin Conditions: Pruritic Papular Eruption. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/skin-conditions.html
    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS fact sheets and related conditions. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. HIV and its impact on skin health: Understanding dermatological conditions associated with HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
    • สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. คู่มือสุขภาพสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV: ตุ่ม PPE และโรคผิวหนังที่พบบ่อย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.idstth.org/articles/hiv-skin-symptoms
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ความรู้เกี่ยวกับอาการทางผิวหนังในผู้ติดเชื้อ HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/diseaseinfo

  • ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลกระทบต่อตับ โดยไวรัสจะทำให้เกิดการอักเสบ และทำลายเซลล์ตับ หากไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ได้ สิ่งที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบซีเป็นอันตราย คือ อาการของโรคมักไม่แสดงออกในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายคนไม่รู้ตัวจนกว่าโรคจะลุกลามไปสู่ระยะเรื้อรัง

    ไวรัสตับอักเสบซี อันตรายที่ซ่อนอยู่กับสุขภาพตับของคุณ

    ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?

    ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตับ และสามารถนำไปสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้แพร่กระจายผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น ผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอด

    อันตรายของไวรัสตับอักเสบซี

    • ประมาณ 75-85% ของผู้ที่ติดเชื้อ HCV จะพัฒนาเป็น โรคตับเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
    • ส่วนใหญ่ ไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อมักไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
    • เป็นสาเหตุหลักของ การปลูกถ่ายตับ ทั่วโลก

    ชนิดของไวรัสตับอักเสบซี (HCV Genotypes)

    ไวรัสตับอักเสบซีมีความหลากหลายทางพันธุกรรม และสามารถแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลัก (Genotypes 1-6) โดยแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อ อัตราการตอบสนองต่อยาต้านไวรัส และแนวทางการรักษา

    รายละเอียดของแต่ละสายพันธุ์ HCV

    • Genotype 1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ และยุโรป มีความทนต่อการรักษาสูง แต่ปัจจุบันยาต้านไวรัสแบบใหม่สามารถรักษาให้หายได้สูงถึง 95-99%
    • Genotype 2 พบมากในแถบยุโรป และอเมริกาใต้ ตอบสนองต่อการรักษาดีกว่า Genotype 1
    • Genotype 3 พบมากในเอเชียใต้ ออสเตรเลีย และบางส่วนของยุโรป มีความสัมพันธ์กับ ไขมันพอกตับ และอาจทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังเร็วขึ้น
    • Genotype 4 พบมากในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และอียิปต์ มีความทนต่อการรักษาคล้าย Genotype 1 แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสแบบใหม่
    • Genotype 5 พบมากในแอฟริกาใต้ และค่อนข้างพบได้น้อยในประเทศอื่น ๆ
    • Genotype 6 พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย เวียดนาม และจีน มีความซับซ้อนด้านพันธุกรรมแต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสที่ทันสมัย

    สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของไวรัสตับอักเสบซี

    ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทางเลือดโดยตรง เช่น

    • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน พบมากในผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด
    • การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ แม้ว่าปัจจุบันมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวดแล้วก็ตาม
    • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน หรืออุปกรณ์ทำเล็บที่ปนเปื้อนเลือด
    • การสักและการเจาะร่างกาย หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
    • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่พบได้น้อย
    •  การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แม้ว่าความเสี่ยงจะต่ำกว่าการติดเชื้อเอชไอวี แต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้

    อาการของไวรัสตับอักเสบซี

    อาการในระยะเฉียบพลัน (Acute Hepatitis C)

    ผู้ติดเชื้อประมาณ 20-30% อาจแสดงอาการภายใน 2-12 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ ซึ่งอาจรวมถึง

    • อ่อนเพลีย
    • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
    • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณตับ
    • ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
    • ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีซีด

    อาการในระยะเรื้อรัง (Chronic Hepatitis C)

    มากกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อ จะกลายเป็นโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง โดย อาจไม่มีอาการเป็นเวลาหลายปี แต่ไวรัสยังคงทำลายตับอย่างต่อเนื่อง เมื่อโรคลุกลามไปสู่ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ อาการที่อาจพบ ได้แก่

    • ท้องมาน ขาบวม
    • เลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย
    • สมองเสื่อมจากภาวะตับวาย

    การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี

    หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองทันที ซึ่งสามารถทำได้โดย

    • Anti-HCV Test ตรวจหาแอนติบอดีต่อไวรัสตับอักเสบซี เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
    • HCV RNA Test (PCR Test) ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
    • การตรวจระดับเอนไซม์ตับ (Liver Function Test – LFTs) เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ
    • Fibroscan หรือ Liver Biopsy เพื่อตรวจภาวะพังผืด และความเสียหายของตับ
    การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

    การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

    ปัจจุบัน การรักษาไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีประสิทธิภาพสูง และสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยยาต้านไวรัสกลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแบบเดิม

    • การรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs) เป็นยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้สามารถรักษาหายได้ในระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ DAAs มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดไวรัสได้ถึง 95% ของผู้ที่ติดเชื้อ ตัวอย่างยากลุ่มนี้ ได้แก่ Sofosbuvir, Ledipasvir, Velpatasvir และ Glecaprevir/Pibrentasvir มีผลข้างเคียงต่ำกว่ายาอินเตอร์เฟียรอนที่เคยใช้ในอดีต
    • การติดตามผลการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย DAAs ต้องเข้ารับ การตรวจวัดระดับ HCV RNA ในเลือด เพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดหมดไป หากพบว่ามี ภาวะตับแข็ง หรือโรคตับเรื้อรัง แพทย์อาจให้การดูแลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยา และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อตับ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพตับ

    แนวทางการป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

    แม้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดที่ติดเชื้อ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น ในกรณีที่ต้องปฐมพยาบาล
    • ป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งเมื่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ทราบสถานะสุขภาพของคู่นอน  หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดแผล เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ไม่ใช้มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น
    • ตรวจสุขภาพ และคัดกรองเป็นประจำ หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่เคยได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี 1992 หรือเคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HCV เป็นระยะ และหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก
    • ระวังความเสี่ยงจากการสัก และการเจาะร่างกาย ควรใช้บริการจากร้านที่มีมาตรฐาน มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อ  และผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
    • เสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมันอิ่มตัว และน้ำตาล หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และสุขภาพตับ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ไวรัสตับอักเสบซีเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายตับโดยไม่มีอาการในช่วงแรก ทำให้หลายคนตรวจพบโรคในระยะท้ายที่รักษายากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยาต้านไวรัส Direct-Acting Antivirals (DAAs) ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    หากคุณ หรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบซี อย่ารอช้า! ควรเข้ารับการตรวจเพื่อปกป้องสุขภาพตับของคุณ

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Hepatitis C Information.
      Offers detailed information on Hepatitis C transmission, prevention, and treatment guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hepatitis/hcv/index.htm
    • World Health Organization (WHO). Hepatitis C Fact Sheet.
      Provides a global overview of Hepatitis C, including its impact and prevention strategies. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hepatitis-c
    • MedlinePlus. Hepatitis C.
      A consumer-friendly resource covering causes, symptoms, and treatment options for Hepatitis C. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/hepatitisc.html
    • กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซี.
      แหล่งข้อมูลจากภาครัฐที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจาย อาการและแนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.ddc.moph.go.th/
    • มูลนิธิสุขภาพตับแห่งประเทศไทย (Thai Liver Foundation). ข้อมูลไวรัสตับอักเสบซี.
      ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในบริบทของสุขภาพตับ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thailiverfoundation.org
  • HPV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยแต่ป้องกันได้

    HPV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยแต่ป้องกันได้

    ไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human Papillomavirus หรือ HPV) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก โดยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ ซึ่งบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts) และบางสายพันธุ์อาจนำไปสู่ มะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ทั้งในชาย และหญิง แม้ว่าเชื้อเอชพีวีเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันได้หากมีความรู้ และการป้องกันที่เหมาะสม

    HPV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยแต่ป้องกันได้

    เชื้อเอชพีวี (HPV)หรือไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา คืออะไร?

    ไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human Papillomavirus หรือ HPV) เป็นกลุ่มไวรัสที่สามารถติดเชื้อในผิวหนังและเยื่อเมือกของมนุษย์ มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

    • เชื้อเอชพีวี (HPV)สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV)
      • ทำให้เกิด หูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts) หรือ หูดที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย
      • มักไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่สามารถสร้างความรำคาญ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
    • เชื้อเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-risk HPV)
      • เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปาก และลำคอ และมะเร็งที่อวัยวะเพศอื่น ๆ
      • สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายที่สุด ได้แก่ HPV-16 และ HPV-18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก

    สาเหตุของการติดเชื้อเอชพีวี

    เชื้อเอชพีวี สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง และเยื่อเมือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน กิจกรรมทางเพศ เช่น

    • การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก
    • การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง
    • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว

    เนื่องจากเชื้อเอชพีวี สามารถติดต่อได้ง่าย แม้ไม่มีอาการใด ๆ การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในผู้ที่มีคู่นอนเพียงคนเดียว

    อาการของเชื้อเอชพีวี

    อาการของเชื้อเอชพีวี จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่ได้รับ โดยส่วนใหญ่สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

    • การเกิดหูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts) หูดที่อวัยวะเพศเกิดจากเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะ HPV-6 และ HPV-11 ซึ่งไม่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่สามารถทำให้เกิดความไม่สบายใจ และความรำคาญได้
      ลักษณะของหูดที่อวัยวะเพศมีดังนี้
      • ลักษณะของหูด
        • เป็นตุ่มเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม
        • มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ
        • อาจมีสีเนื้อหรือขาว
      • ตำแหน่งที่พบหูด
        • อวัยวะเพศชาย: รอบองคชาต ถุงอัณฑะ หรือที่ขาหนีบ
        • อวัยวะเพศหญิง: รอบช่องคลอด แคมใหญ่ แคมเล็ก หรือปากมดลูก
        • บริเวณอื่น: ทวารหนัก ลำคอ หรือภายในปากในกรณีที่ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
      • อาการที่พบ
        • หูดที่อวัยวะเพศ มักไม่เจ็บปวด แต่สามารถทำให้รู้สึกคันหรือไม่สบาย
        • หากไม่ได้รับการรักษา หูดอาจขยายใหญ่ขึ้น และแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นของร่างกาย
    • ความเสี่ยงต่อมะเร็งจากเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง เช่น HPV-16 และ HPV-18 เป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งรวมถึง:
      • มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ HPV-16 และ HPV-18  ซึ่งในระยะเริ่มต้น มักไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้จากการตรวจ Pap Smear
      • มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอด พบได้ในผู้หญิงที่ติดเชื้อเอชไอวี สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง อาการอาจรวมถึง เลือดออกผิดปกติ ปวดหน่วงท้องน้อย หรือมีก้อนเนื้อผิดปกติ
      • มะเร็งอวัยวะเพศชาย เชื้อเอชไอวี อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งองคชาต โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลาย
      • มะเร็งทวารหนัก มักเกิดในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
      • มะเร็งศีรษะ และลำคอ การติดเชื้อเอชไอวี สามารถทำให้เกิดมะเร็งที่ลำคอ ฐานลิ้น และต่อมทอนซิล โดยติดเชื้อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
      • สัญญาณเตือนของการเกิดมะเร็งจากเชื้อเอชไอวี เช่น มีแผลเรื้อรังที่อวัยวะเพศ, มีเลือดออกผิดปกติหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือมีก้อนผิดปกติในบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก

    การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชพีวี

    หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อเอชพีวี สามารถเข้ารับการวินิจฉัยได้ผ่าน การตรวจคัดกรอง ซึ่งรวมถึง

    • การตรวจ Pap Smear (แปปสเมียร์) เป็นวิธีคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพ โดยตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกที่อาจนำไปสู่มะเร็ง แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 21 ปีขึ้นไป เข้ารับการตรวจเป็นประจำทุก 3-5 ปี
    • การตรวจ HPV DNA Test ใช้ตรวจหาเชื้อเอชไอวี สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง  มักใช้ร่วมกับการตรวจ Pap Smear
    • การตรวจร่างกายโดยแพทย์ แพทย์สามารถตรวจสอบหูดที่อวัยวะเพศได้โดยการตรวจภายนอก หากมีอาการผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง
    การรักษาการติดเชื้อเอชพีวี

    การรักษาการติดเชื้อเอชพีวี

    • การรักษาหูดที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวี โดยตรง แต่สามารถจัดการอาการของหูดที่อวัยวะเพศได้โดย
      • ยาทา (Topical Medications)
        • Imiquimod (Aldara, Zyclara)  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเชื้อไวรัส
        • Podophyllin และ Podofilox  ทำให้เซลล์หูดตาย
        • Trichloroacetic Acid (TCA)  ทำลายเซลล์หูดโดยใช้กรด
      • การรักษาทางการแพทย์
        • Cryotherapy  การใช้ไนโตรเจนเหลวเพื่อแช่แข็งหูด
        • การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery)  ใช้กระแสไฟฟ้าในการทำลายหูด
        • การผ่าตัดเล็ก (Excision)  ตัดหูดออกโดยตรง
        • การใช้เลเซอร์ (Laser Therapy)  ใช้พลังงานแสงทำลายเซลล์หูด
    • การติดตามเซลล์ผิดปกติในปากมดลูก หากมีผลตรวจ Pap Smear ผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำการรักษาดังนี้
      • Colposcopy และ Biopsy  ตรวจสอบเซลล์ผิดปกติในปากมดลูก
      • การรักษาด้วยความเย็น (Cryosurgery)  ทำลายเซลล์ผิดปกติ
      • LEEP (Loop Electrosurgical Excision Procedure)  ตัดเอาเซลล์ผิดปกติออก
    • การรักษามะเร็งที่เกิดจากติดเชื้อเอชพีวี หากการติดเชื้อเอชไอวี นำไปสู่มะเร็ง จะต้องรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้
      • การผ่าตัด (Surgery)
      • การฉายรังสี (Radiation Therapy)
      • การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

    การป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

    เชื้อเอชพีวี เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ และมีหลายวิธีในการลดความเสี่ยง

    • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถป้องกันสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง และหูดที่อวัยวะเพศ วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่
      • Gardasil 9  ป้องกัน HPV ได้ถึง 9 สายพันธุ์ (รวมทั้ง HPV-6, 11, 16, 18)
      • Cervarix  ป้องกัน HPV-16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
      • ใครควรได้รับวัคซีน?
        • เด็กหญิง และเด็กชายอายุ 9-14 ปี ควรได้รับวัคซีน ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ
        • ผู้ใหญ่อายุไม่เกิน 45 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน
    • การใช้ถุงยางอนามัย แม้ว่าถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชพีวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก  โดยหญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจ Pap Smear หรือ HPV DNA Test เป็นประจำเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติที่อาจนำไปสู่มะเร็งปากมดลูก

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การติดเชื้อเอชพีวี เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันได้ด้วย วัคซีน HPV การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การรู้เท่าทันเกี่ยวกับ HPV จะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเอง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคต หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ และขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อความปลอดภัย

  • วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

    วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคติดต่อที่มีผลกระทบต่อเซลล์ตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง และมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม โดยไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในร่างกาย และการสัมผัสของเหลวของผู้ติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ การป้องกัน และการรับมือไวรัสตับอักเสบบีอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    วิธีรับมือไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

    ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการติดเชื้อที่เกิดจาก Hepatitis B Virus (HBV) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเซลล์ตับ  และอาจก่อให้เกิดการอักเสบในตับ

    การติดเชื้อนี้มีสองประเภทหลัก ได้แก่

    • การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute Hepatitis B)
      • เกิดขึ้นภายในไม่กี่เดือนหลังจากได้รับเชื้อ
      • บางคนสามารถฟื้นตัว และสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง
      • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง
    • การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B)
      • เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปได้
      • มีโอกาสนำไปสู่ภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และภาวะตับล้มเหลว

    การแพร่กระจายของไวรัสตับอักเสบบี

    ไวรัสตับอักเสบบีสามารถแพร่กระจายผ่านทาง เลือด และของเหลวในร่างกาย เช่น

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ
    • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เช่น ในผู้ใช้ยาเสพติด
    • การสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อผ่านบาดแผล
    • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในขณะคลอด
    • การใช้เครื่องมือแพทย์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น เข็มสักหรืออุปกรณ์ทำเล็บ

    อาการของไวรัสตับอักเสบบี

    อาการของไวรัสตับอักเสบบีแตกต่างกันไปตามระยะของโรค โดยบางคนอาจไม่มีอาการแสดงเลย ทำให้การแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย

    อาการทั่วไปที่อาจพบได้ ได้แก่

    • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
    • ตาและผิวหนังเป็นสีเหลือง (ดีซ่าน)
    • ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระสีซีด
    • ปวดบริเวณช่องท้องข้างขวาบน (ตำแหน่งของตับ)

    หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

    การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

    การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบีเป็นกระบวนการที่สำคัญในการตรวจหาการติดเชื้อ และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่ในร่างกายได้โดยไม่มีอาการเป็นเวลานาน ดังนั้นการตรวจหาเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ผู้ที่ได้รับเลือดหรืออวัยวะจากผู้อื่น และผู้ที่มีประวัติครอบครัวติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

    • การตรวจเลือดเพื่อหาไวรัสตับอักเสบบี การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบีทำได้โดยการ ตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งสามารถระบุสถานะการติดเชื้อของผู้ป่วยได้โดยพิจารณาผลจากตัวบ่งชี้ทางชีวเคมีในเลือด ดังนี้
      • การตรวจหาโปรตีนของไวรัส (HBsAg – Hepatitis B Surface Antigen) เป็นการตรวจหาโปรตีนที่อยู่บนพื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี
      • การตรวจหาแอนติบอดีต่อโปรตีนของไวรัส (Anti-HBs – Hepatitis B Surface Antibody) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านไวรัส
      • การตรวจหาแอนติบอดีต่อแอนติเจนของแกนไวรัส (Anti-HBc – Hepatitis B Core Antibody) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเคยสัมผัสไวรัสตับอักเสบบี
      • การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (HBV DNA Test – Viral Load Test) เป็นการตรวจหา DNA ของไวรัสตับอักเสบบีโดยตรง ใช้เพื่อประเมินระดับการติดเชื้อว่ามีปริมาณไวรัสสูงหรือต่ำในร่างกาย ใช้ติดตามผลของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
      • การตรวจหาแอนติเจน e ของไวรัส (HBeAg – Hepatitis B e-Antigen) ใช้ในการประเมินว่าไวรัสกำลังเพิ่มจำนวนอยู่หรือไม่
    • การตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสียหายของตับ นอกจากการตรวจหาไวรัสโดยตรง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูความเสียหายของตับ ได้แก่
      • การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Test – LFTs) เป็นการตรวจวัดค่าของเอนไซม์ และโปรตีนในตับ เช่น ALT (Alanine Aminotransferase) และ AST (Aspartate Aminotransferase) หากค่าของเอนไซม์เหล่านี้สูงขึ้น อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบของตับ
      • การตรวจอัลตราซาวด์ตับ (Liver Ultrasound) ใช้คลื่นเสียงเพื่อดูโครงสร้างของตับ หรือใช้เพื่อตรวจหาภาวะตับแข็งหรือเนื้องอกในตับ
      • การตรวจ FibroScan (Elastography) เป็นการตรวจหาภาวะตับแข็งโดยใช้คลื่นเสียงหรือเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้เข็มเจาะเหมือนการตัดชิ้นเนื้อตับ
      • การตัดชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) ใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบว่าตับมีความเสียหายรุนแรงแค่ไหน โดยใช้เข็มเจาะตับเพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
    การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

    การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

    การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ

    • การติดเชื้อเฉียบพลัน ในหลายกรณี ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา และแพทย์อาจแนะนำให้พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
    • การติดเชื้อเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาต้านไวรัส เช่น Tenofovir หรือ Entecavir และติดตามสุขภาพของตับเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ

    หมายเหตุ: แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกจากร่างกายได้ 100% แต่การใช้ยาสามารถควบคุมปริมาณไวรัส และลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้

    วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

    เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด 100% การป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่

    • รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี โดยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กแรกเกิด หรือหากยังไม่เคยฉีดสามารถฉีดได้ในภายหลัง ซึ่งวัคซีนมีทั้งหมด 3 เข็ม ซึ่งให้ภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
    • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
    • ตรวจเลือดก่อนตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี หากพบว่าติดเชื้อ ทารกที่เกิดมาสามารถรับวัคซีนทันทีหลังคลอดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องมือที่ปลอดภัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล คลินิกทำฟัน หรือร้านสักถูกฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม

    การใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

    ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม โดยคำแนะนำสำหรับการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ได้แก่

    • รับการตรวจติดตามสุขภาพตับเป็นประจำ
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารแปรรูป
    • แจ้งสถานะสุขภาพให้คู่ครองทราบ เพื่อให้สามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคร้ายที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรอง และหากพบว่าติดเชื้อ ควรเข้ารับการรักษาและติดตามสุขภาพของตับอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save