โรคฝีมะม่วง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดที่ก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ เป็นโรคที่พบได้น้อยในอดีต แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย (MSM) และผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคฝีมะม่วงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น การเกิดแผลเป็นที่อวัยวะเพศ การอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง และภาวะบวมเรื้อรัง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จะช่วยให้สามารถรับมือได้อย่างถูกต้องและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ

โรคฝีมะม่วง คืออะไร?
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum – LGV) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซีโรไทป์ L1, L2 และ L3 ซึ่งแตกต่างจากเชื้อชนิดที่ทำให้เกิดหนองในเทียมทั่วไป แบคทีเรียชนิดนี้จะเข้าไปทำลายต่อมน้ำเหลือง และก่อให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะเริ่มต้น (Primary Stage) – มีแผลเล็กๆ ที่อวัยวะเพศ หรือทางทวารหนัก มักไม่เจ็บ และหายเอง
- ระยะที่สอง (Secondary Stage) – มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมโต กดเจ็บ และเป็นฝีหนอง
- ระยะเรื้อรัง (Tertiary Stage) – เกิดพังผืดที่อวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนัก ทำให้เกิดอาการอุดตัน และบวมถาวร
สาเหตุ และการติดต่อของโรคฝีมะม่วง
เชื้อ Chlamydia trachomatis ซีโรไทป์ L1, L2 และ L3 สามารถแพร่กระจายผ่าน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก
ช่องทางการติดเชื้อหลัก ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งเป็นช่องทางที่พบการติดเชื้อได้มาก
- การสัมผัสสารคัดหลั่งจากแผลของผู้ติดเชื้อ
- การใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกัน โดยไม่ได้ทำความสะอาด
สัญญาณเตือน และอาการของโรคฝีมะม่วง
อาการของโรคฝีมะม่วงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะของโรค
- ระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 1)
- หลังจากรับเชื้อ 3-30 วัน จะมีแผลเล็กๆ ที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
- แผลมักไม่มีอาการเจ็บ และสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน
- เนื่องจากแผลหายเร็ว ผู้ป่วยมักไม่สังเกตเห็น
- ระยะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (ระยะที่ 2)
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวมโต เจ็บ และกลายเป็นฝีหนอง
- อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
- หากเป็นในกลุ่มชายรักชาย (MSM) ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก อาจมีอาการ ปวดทวารหนัก ถ่ายเป็นเลือด หรือมีหนองออกจากทวารหนัก
- ระยะเรื้อรัง (ระยะที่ 3)
- อาจเกิดแผลเป็นที่อวัยวะเพศ ทำให้เกิด ภาวะอุดตันของท่อปัสสาวะหรือทวารหนัก
- บางรายอาจมีอาการ บวมเรื้อรังที่ขาหนีบหรืออวัยวะเพศ
- อาจนำไปสู่ ภาวะ Elephantiasis (บวมถาวรคล้ายโรคเท้าช้าง)
ข้อควรระวัง หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถลุกลาม และทำลายอวัยวะภายในได้ การตรวจหาเชื้อ และรักษาให้เร็วที่สุดจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคฝีมะม่วงได้โดยวิธีดังต่อไปนี้
- การตรวจร่างกาย และประวัติทางเพศสัมพันธ์
- การตรวจหาเชื้อจากแผล หรือต่อมน้ำเหลือง
- การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) เพื่อยืนยันเชื้อ Chlamydia trachomatis
- การตรวจเลือดเพื่อแยกโรคอื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หรือ HIV ที่อาจมีอาการคล้ายกัน
วิธีรักษาโรคฝีมะม่วง
โรคฝีมะม่วงสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline 100 mg วันละ 2 ครั้ง นาน 21 วัน หรือ Azithromycin 1 กรัมต่อสัปดาห์ นาน 3 สัปดาห์
- การรักษาฝีหนอง ในกรณีที่มีฝีหนองขนาดใหญ่ อาจต้อง เจาะระบายหนองออก หากมีการอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง อาจต้องได้รับการรักษาโดยศัลยแพทย์
- การรักษาผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อน หากเกิดพังผืดหรือภาวะอุดตัน อาจต้องใช้ การผ่าตัดเพื่อเปิดทางเดินปัสสาวะ หรือลำไส้ ในรายที่มีภาวะบวมเรื้อรัง อาจต้องใช้การรักษาด้วย การนวดระบบน้ำเหลืองหรือการบำบัดเฉพาะทาง
วิธีป้องกันโรคฝีมะม่วง
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- เข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
- หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
- แจ้งคู่นอนให้เข้ารับการตรวจ และรักษาหากพบว่าติดเชื้อ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
โรคฝีมะม่วงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis และสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา อาการในระยะแรกมักไม่มีความเจ็บปวด ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ ซึ่งการวินิจฉัย และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันผลกระทบร้ายแรงได้ หากคุณหรือคู่นอนมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคฝีมะม่วง ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์โดยเร็ว และใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ