Tag: Human Immunodeficiency Virus

  • HIV ≠ AIDS: ความต่างที่หลายคนยังเข้าใจผิด

    HIV ≠ AIDS: ความต่างที่หลายคนยังเข้าใจผิด

    ในสังคมไทย และทั่วโลก หลายคนยังคงสับสนระหว่างคำว่า HIV และ AIDS ซึ่งมักถูกใช้แทนกันไปมาโดยไม่ถูกต้อง ความสับสนนี้ไม่เพียงส่งผลต่อการสื่อสารด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การตีตรา การเลือกปฏิบัติ และการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการป้องกัน และการรักษาโรคอีกด้วย ความจริงแล้ว HIV และ AIDS ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

    การเจาะลึกความแตกต่างระหว่าง HIV (Human Immunodeficiency Virus) และ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) รวมถึงอธิบายพัฒนาการของโรค กลไกการติดเชื้อ แนวทางรักษา และป้องกัน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจผิดในสังคม

    HIV ≠ AIDS: ความต่างที่หลายคนยังเข้าใจผิด

    HIV คืออะไร?

    HIV คือ เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ที่มีหน้าที่หลักในการป้องกันเชื้อโรค เมื่อจำนวน CD4 ลดลงอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะอ่อนแอ และติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อ HIV จะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ภาวะเอดส์ในที่สุด

    HIV มี 2 สายพันธุ์หลัก คือ HIV-1 และ HIV-2 โดย HIV-1 พบมากที่สุดทั่วโลก ส่วน HIV-2 พบมากในทวีปแอฟริกาบางพื้นที่ การติดต่อเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่มีเชื้อ และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

    AIDS คืออะไร?

    AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome เป็นระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรงจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อีกต่อไป ผู้ป่วยในระยะเอดส์มักมีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ไมโครลิตร และมักพบโรคฉวยโอกาสหรือมะเร็งบางชนิดร่วมด้วย เช่น วัณโรคปอด ปอดอักเสบจากเชื้อรา มะเร็งคาโปซีซาร์โคมา

    ดังนั้น HIV เป็นเชื้อไวรัส ส่วน AIDS เป็นภาวะหรือกลุ่มอาการที่เกิดจากการที่ร่างกายถูกทำลายโดยเชื้อนี้เป็นเวลานาน

    ความแตกต่างระหว่าง HIV และ AIDS

    HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ เชื้อไวรัส ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจู่โจมระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ทำให้จำนวน CD4 ค่อย ๆ ลดลง หากไม่รักษา ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

    AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือ ภาวะ/กลุ่มอาการ ระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV เมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายมากจนเกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสหรือมะเร็งบางชนิดง่าย เกณฑ์ทางคลินิกที่ใช้กัน

    ทั่วไปคือ

    • จำนวน CD4 < 200 เซลล์/ไมโครลิตร หรือ
    • มี โรคฉวยโอกาส/มะเร็งที่เข้าเกณฑ์เอดส์ (เช่น PCP, วัณโรคระยะแพร่กระจาย, คาโปซีซาร์โคมา ฯลฯ)

    ประเด็นสำคัญที่มักเข้าใจผิด และควรย้ำให้ชัด

    • HIV ≠ AIDS: ติดเชื้อ HIV ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ในระยะเอดส์ทันที
    • การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอทำให้ไวรัสถูกกดต่ำจน ตรวจไม่พบ (undetectable) ระบบภูมิคุ้มกันฟื้นตัว ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตยืนยาวใกล้เคียงคนทั่วไป และ ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระยะเอดส์
    • เมื่อไวรัสถูกกดจนตรวจไม่พบตามเกณฑ์ที่สม่ำเสมอ หลักการ U=U (Undetectable = Untransmittable) ชี้ว่าโอกาสแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์แทบเป็นศูนย์

    สรุป: HIV คือเชื้อ ส่วน AIDS คือสภาวะปลายของโรค การตรวจพบเร็ว และเริ่ม ART เร็วคือกุญแจป้องกันการดำเนินโรคสู่เอดส์

    ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี

    การติดเชื้อ HIV มีพลวัตที่ชัดเจน และแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะมีลักษณะของ ปริมาณไวรัส (Viral load) และ จำนวน CD4 ต่างกัน

    ระยะที่ 1: การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute HIV infection)

    ช่วงเวลา: โดยมาก 2–4 สัปดาห์ หลังรับเชื้อ

    ลักษณะเด่น

    • Viral load สูงมาก ร่างกายยังไม่ทันสร้างภูมิคุ้มกัน จึงแพร่เชื้อได้ง่าย
    • อาการอาจคล้ายไข้หวัดใหญ่/โมโนนิวคลิโอซิส: ไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย ผื่น อ่อนเพลีย หรือ ไม่มีอาการเลย
    • ผลตรวจแบบแอนติบอดีล้วน ๆ อาจยัง ลบปลอม ในช่วงต้น เพราะร่างกายยังไม่สร้างภูมิครบ จำเป็นต้องเลือกการตรวจที่เหมาะสมกับ ช่วงเวลาหลังเสี่ยง

    ระยะที่ 2: ระยะไม่แสดงอาการ (Chronic/Clinical latency)

    ช่วงเวลา: ยาวได้หลายปี หากไม่รักษา
    ลักษณะเด่น

    • ผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการ แต่ไวรัสยังคงแบ่งตัวในระดับต่ำถึงปานกลาง
    • CD4 ค่อย ๆ ลดลง ทีละน้อย หากไม่รับ ART
    • หากรับ ART อย่างสม่ำเสมอ จะกดไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบ และคงระดับ CD4 ไว้ได้ ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงต่อเนื่อง

    ระยะที่ 3: ภาวะเอดส์ (AIDS)

    เกณฑ์เข้าสู่ระยะเอดส์

    • CD4 < 200 เซลล์/ไมโครลิตร หรือ
    • มีโรคฉวยโอกาส/มะเร็งจำเพาะที่เข้าเกณฑ์เอดส์
      ลักษณะเด่น:
    • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เจ็บป่วยบ่อย และรุนแรง
    • การรักษายังได้ผล: การเริ่ม ART แม้ในระยะนี้ก็ช่วยให้ไวรัสลดลง ภูมิคุ้มกันฟื้นตัว และลดอัตราป่วยตายได้

    แกนสำคัญ: ตรวจเร็ว → เริ่ม ART เร็ว → ไม่พัฒนาเป็นเอดส์

    การวินิจฉัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

    เป้าหมาย คือ ให้รู้สถานะให้ชัดเจนที่สุดโดยเร็ว เพื่อเริ่ม ART ทันท่วงที และป้องกันการแพร่เชื้อ การเลือกชนิดการตรวจควรอิง ช่วงเวลาหลังเหตุเสี่ยง (window period) และจุดประสงค์ของการตรวจ

    ประเภทการตรวจหลัก

    • การตรวจแอนติบอดี (Antibody test)
      • ตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างต่อต้าน HIV
      • วิธีที่พบได้: ชุดตรวจแบบแยงนิ้ว/น้ำลาย (self-test/point-of-care) และตรวจเลือดที่ห้องแล็บ
      • โดยทั่วไปให้ผลบวกได้ภายใน 3–12 สัปดาห์ หลังติดเชื้อ ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดชุดตรวจ
      • เหมาะกับคัดกรองทั่วไป แต่ในระยะ เฉียบพลัน อาจยังลบปลอม
    • การตรวจแบบผสมแอนติเจน/แอนติบอดี รุ่นที่ 4 (Ag/Ab combination, 4th generation)
      • ตรวจได้ทั้ง แอนติเจน p24 (ส่วนประกอบไวรัส) และ แอนติบอดี
      • ตรวจพบได้เร็วกว่าแอนติบอดีล้วน โดยทั่วไปภายในราว 2–6 สัปดาห์ หลังรับเชื้อ
      • เป็นมาตรฐานคัดกรองในสถานพยาบาลจำนวนมาก เพราะไวต่อระยะต้นกว่าการตรวจภูมิล้วน
    • การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส (Nucleic Acid Test: NAT)
      • ตรวจ RNA ของไวรัส โดยตรง จึงพบได้เร็วสุด บางครั้งเร็วภายใน 1–2 สัปดาห์ หลังสัมผัสเสี่ยง
      • เหมาะกับกรณีสงสัยระยะเฉียบพลัน หรือจำเป็นต้องรู้ผลเร็วมาก (เช่น เลือดผู้บริจาค/คู่ครรภ์ความเสี่ยงสูง)
      • ราคาสูงกว่าวิธีอื่น จึงมักใช้ตามข้อบ่งชี้

    หลัการอ่านผล และยืนยันผล

    • ตรวจคัดกรอง บวก ต้องมี การทดสอบยืนยัน (confirmatory) ตามอัลกอริทึมมาตรฐาน (เช่น ทดสอบซ้ำด้วยวิธีต่างชนิด หรือใช้ NAT)
    • หากผล ลบ แต่มีเหตุเสี่ยงในช่วง window period ให้แพทย์นัด ตรวจซ้ำ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม (เช่น 4–6 สัปดาห์ และ/หรือ 3 เดือน แล้วแต่ชนิดการทดสอบ)

    การตรวจด้วยตนเอง (HIV self-testing)

    • ช่วยให้เข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น สะดวก และเป็นส่วนตัว
    • หากผล บวก ต้องไปตรวจยืนยันในสถานพยาบาล
    • หากผล ลบ แต่เพิ่งมีเหตุเสี่ยงไม่นาน ควร ตรวจซ้ำตามช่วงเวลา ที่ระบุในคู่มือชุดตรวจ

    หลังรู้ผล: เชื่อมต่อการรักษา และการป้องกัน

    • ผลบวก (ผู้ติดเชื้อ): ควร เริ่ม ART โดยเร็ว (ปัจจุบันแนวทางจำนวนมากแนะนำเริ่มทันที/วันเดียวกันเมื่อพร้อม) เพื่อกดไวรัส ฟื้น CD4 และลดการแพร่เชื้อ
    • ผลลบ (ยังไม่ติดเชื้อ): หากมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อเนื่อง ควรปรึกษาเรื่อง PrEP (ยาป้องกันก่อนสัมผัส) และแนวทางป้องกันอื่น ๆ รวมถึง PEP (ยาป้องกันหลังสัมผัส) ภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อเกิดเหตุเสี่ยงเฉียบพลัน

    ประเด็นคุณภาพ และความเป็นส่วนตัว

    • เลือกสถานที่ตรวจที่ใช้ ชุดตรวจมาตรฐาน ผ่านการรับรอง
    • รักษาความลับ และสิทธิผู้รับบริการ (consent, counseling ก่อน–หลังตรวจ)
    • เข้าถึงบริการติดตาม (adherence support, viral load monitoring) อย่างต่อเนื่อง
    การรักษาการติดเชื้อเอชไอวี

    การรักษาการติดเชื้อเอชไอวี

    หลักการรักษาปัจจุบัน: แม้ยังไม่มียาที่ทำให้หายขาด แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) สามารถกดปริมาณไวรัสให้ต่ำจน ตรวจไม่พบ (undetectable) ได้อย่างยั่งยืน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันฟื้นตัว ลดการป่วยจากโรคฉวยโอกาส และลดการแพร่เชื้อผ่านเพศสัมพันธ์ได้ใกล้ศูนย์ (แนวคิด U=U: Undetectable = Untransmittable เมื่อควบคุมได้ต่อเนื่อง)

    เริ่มยาเร็วที่สุด: แนะนำให้เริ่ม ART ทันทีที่วินิจฉัยได้ ไม่ต้องรอ CD4 ลด ช่วยลดการอักเสบเรื้อรังของร่างกาย ปกป้องอวัยวะระยะยาว และลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

    • สูตรยามาตรฐานยุคใหม่
      • แนวโน้มคือสูตร วันละครั้ง ที่ประกอบด้วยยาอย่างน้อย 2–3 ตัวในเม็ดเดียว โดยมักมียากลุ่ม Integrase inhibitors (เช่น Dolutegravir หรือ Bictegravir) ร่วมกับยากลุ่ม NRTIs (เช่น TDF/TAF + FTC/3TC) ซึ่งออกฤทธิ์แรง คงระดับดี และผลข้างเคียงโดยรวมต่ำ
      • ในบางกรณีอาจพิจารณาสูตร สองยาตัว (เช่น Dolutegravir/3TC) ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม (ไม่มีดื้อยา/ไม่มีไวรัสตับบีร่วม ฯลฯ)
      • ทางเลือก ยาฉีดออกฤทธิ์ยาว (เช่น cabotegravir + rilpivirine แบบฉีดตามรอบ) มีใช้ในบางประเทศ/บางสถานพยาบาล เหมาะกับผู้ที่ควบคุมไวรัสได้แล้ว และต้องการลดภาระการกินยา แต่ต้องประเมินความเหมาะสมเป็นรายคน
    • การติดตามผล และความสม่ำเสมอในการกินยา
      • ตรวจ Viral load เป็นระยะจนกว่าจะ ตรวจไม่พบ และตรวจต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังการเด้งกลับ
      • ตรวจ CD4 ตามความเหมาะสมเพื่อประเมินสภาวะภูมิคุ้มกัน
      • เน้น การกินยาตรงเวลา ทุกวัน ลดโอกาสเกิดการดื้อยา หากลืมบ่อยให้วางแผนเตือน (เช่น ตั้งนาฬิกา/ใช้กล่องยา)
      • ทบทวน ปฏิกิริยาระหว่างยา (เช่น ยาลดกรด/สมุนไพรบางชนิด) และติดตามผลข้างเคียง (เช่น คลื่นไส้ เวียนหัว ระดับไขมัน/น้ำตาล/การทำงานไต-ตับ) เพื่อปรับแผน
    • เมื่อมีการดื้อยา
      • ทำการตรวจ Genotypic resistance เพื่อปรับสูตรยาให้เหมาะกับรูปแบบการดื้อ
      • ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนด้านพฤติกรรม (adherence counseling) ลดโอกาสเกิดดื้อซ้ำ
    • ผลลัพธ์ระยะยาว
      • ผู้ที่รักษาต่อเนื่อง และคุมไวรัสได้ จะมี อายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงคนทั่วไป ทำงาน เรียน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
      • หญิงตั้งครรภ์ที่คุมไวรัสได้ดี และได้รับการดูแลตามแนวทาง จะช่วยลดการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้อย่างมาก

    การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

    • ถุงยางอนามัย: ใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และใช้ถูกวิธี เลือกขนาดพอดี ตรวจวันหมดอายุ ใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะกับชนิดถุงยาง เพื่อลดการแตก/หลุด
    • ไม่ใช้เข็มร่วมกัน: หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยา/อุปกรณ์เสพร่วมกันทุกชนิด หากจำเป็นให้เข้าถึงบริการ เข็มสะอาด และการบำบัดทดแทนตามมาตรฐาน
    • การตรวจคัดกรองเชิงรุก
      • ตรวจ HIV ตามความเสี่ยง เช่น ทุก 3–6 เดือนสำหรับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน/ไม่สม่ำเสมอในการป้องกัน
      • ตรวจเลือดก่อนบริจาค/ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น
    • PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)
      • การรับประทานยาป้องกันล่วงหน้าสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยง เช่น TDF/FTC แบบรายวัน (และ On-demand สำหรับบางกลุ่มเฉพาะตามแนวทาง) หรือ ยาฉีด cabotegravir ออกฤทธิ์ยาว ในบางพื้นที่
      • ต้อง ตรวจ HIV ก่อนเริ่ม และติดตามตามรอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิผลสูงสุด
    • PEP (Post-Exposure Prophylaxis)
      • การกินยาหลังสัมผัสความเสี่ยง ควรเริ่ม ภายใน 72 ชั่วโมง และกินต่อเนื่อง 28 วัน พร้อมการติดตามตรวจตามช่วงเวลาที่กำหนด
      • เหมาะกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ถุงยางแตก มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือสัมผัสเลือด/ของเหลวที่มีความเสี่ยง
    • Treatment as Prevention (TasP / U=U): ผู้ติดเชื้อที่ใช้ ART จนไวรัส ตรวจไม่พบ อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ตามหลักฐานปัจจุบัน จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญทั้งเพื่อสุขภาพตนเอง และการป้องกันในชุมชน
    • ปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ
      • ลด/หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และสารเสพติดที่ทำให้ ตัดสินใจเสี่ยง
      • ฉีดวัคซีนที่จำเป็น (เช่น ไวรัสตับอักเสบบี) และตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เป็นระยะ เพราะการอักเสบจากโรคเหล่านี้เพิ่มโอกาสติด/แพร่เชื้อ

    ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ HIV และ AIDS

    HIV และ AIDS คือโรคเดียวกัน – ไม่จริง

    • HIV คือเชื้อไวรัส; AIDS คือภาวะท้ายของการติดเชื้อเมื่อภูมิคุ้มกันทรุดต่ำมาก ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่เข้าสู่เอดส์เลย หากได้ ART ต่อเนื่อง

    ติด HIV = ต้องเสียชีวิตเร็ว – ไม่จริง

    • ด้วย ART รุ่นใหม่ ผู้ติดเชื้อที่คุมไวรัสได้ มี อายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงคนทั่วไป หากดูแลสุขภาพเหมาะสม

    HIV ติดต่อผ่านการกอด จับมือ ใช้แก้ว/ช้อน/ห้องน้ำร่วมกัน – ไม่จริง

    • HIV ไม่แพร่ผ่านการสัมผัสทั่วไป เหงื่อ น้ำลาย น้ำตา หรือยุง/แมลง
    • การจูบแบบทั่วไปไม่ทำให้ติด ยกเว้นมีเลือดออกในปากทั้งสองฝ่าย (ความเสี่ยงยังจัดว่าต่ำมาก)

    ตรวจครั้งเดียวพอ – ไม่จริง

    • มีช่วง window period ก่อนร่างกายสร้างสารชี้เป้าเพียงพอ จึงควรตรวจตามรอบที่เหมาะสมหลังเหตุเสี่ยง และตรวจซ้ำตามคำแนะนำ

    กินยาไม่ตรงเวลาก็ไม่เป็นไร – ไม่จริง

    • การลืมยาบ่อยทำให้ ไวรัสดื้อยา คุมไม่ได้ เสี่ยงเอดส์ และแพร่เชื้อได้สูงขึ้น ต้องวางระบบเตือน และขอคำปรึกษาหากมีปัญหาในการกินยา

    คุมไวรัสไม่พบแล้ว หยุดถุงยางได้เสมอ – ไม่เสมอไป

    • U=U ป้องกันการแพร่เชื้อ HIV ทางเพศสัมพันธ์ แต่ ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ถุงยางยังสำคัญ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ยังไม่แน่ชัด/มีคู่อื่น หรืออยู่ระหว่างเฝ้าติดตาม viral load

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    HIV และ AIDS ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน HIV คือเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ส่วน AIDS คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างหนัก การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยลดความเข้าใจผิดในสังคม เพิ่มโอกาสให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการตรวจ และการรักษาได้ทันท่วงที และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    เอกสารอ้างอิง

    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Key Facts. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
    • AIDSinfo. Difference between HIV and AIDS. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://clinicalinfo.hiv.gov/en/basics/what-hiv-aids
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. เอชไอวีและเอดส์: ข้อมูลพื้นฐาน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
    • มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเอดส์ (ADF Thailand). ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://adf.or.th
  • เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ เมื่อไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนเข้าสู่ระยะเอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส และโรคร้ายแรงอื่น ๆ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเอชไอวี สาเหตุ วิธีการแพร่กระจาย การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องตัวเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เอชไอวี คืออะไร?

    เอชไอวี  (HIV: Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตรง โดยเป้าหมายหลักคือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อจำนวนเซลล์ CD4 ลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อหรือโรคอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะเข้าสู่ระยะเอดส์  (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

    เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    การแพร่กระจายของเอชไอวี

    เชื้อเอชไอวี แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย เช่น

    • เลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันหรือการรับเลือดที่ไม่ปลอดภัย
    • น้ำอสุจิ และสารคัดหลั่งในช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • น้ำนมแม่ การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการให้นม
    • การสัมผัสกับของเหลวที่มีเชื้อ เช่น การมีแผลเปิด หรือการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวที่มีเชื้อในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สิ่งที่ไม่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

    • การสัมผัสทางผิวหนัง เช่น การจับมือ หรือการกอด
    • การใช้ห้องน้ำ หรือภาชนะรับประทานอาหารร่วมกัน
    • การถูกยุงกัด

    อาการของการติดเชื้อเอชไอวี

    • ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection)
      • มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดหัว และผื่นขึ้น
      • อาการเหล่านี้เกิดขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ และมักคล้ายไข้หวัดใหญ่
      • อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และท้องเสียร่วมด้วย
    • ระยะสงบ (Chronic HIV)
      • ในช่วงนี้เชื้อไวรัสจะยังคงอยู่ในร่างกาย และเพิ่มจำนวนอย่างช้า ๆ
      • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจน แต่ระบบภูมิคุ้มกันกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
    • ระยะเอดส์ (AIDS)
      • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น ปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis jirovecii หรือเชื้อราในสมอง
      • อาการในระยะนี้อาจรวมถึงน้ำหนักลดอย่างรุนแรง อ่อนเพลียเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง และแผลที่ไม่หายบนผิวหนัง
      • ผู้ป่วยอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น สูญเสียความจำหรือสับสน

    การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี

    • การตรวจแอนติบอดี/แอนติเจน (Antibody/Antigen Test) ตรวจหาแอนติบอดี และแอนติเจนของเชื้อเอชไอวีในเลือด สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) ตรวจหา RNA ของไวรัสโดยตรง มีความแม่นยำสูง แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น
    • การตรวจด้วยชุดตรวจตัวเอง (Self-Test) ใช้ตัวอย่างน้ำลายหรือเลือดปลายนิ้ว สามารถตรวจได้ที่บ้าน แต่ควรยืนยันผลที่สถานพยาบาล
    การรักษาเอชไอวี

    การรักษาเอชไอวี

    • ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ART เป็นวิธีการรักษาหลักที่ใช้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกันเพื่อลดปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable Viral Load) ซึ่งช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ยาที่ใช้ใน ART แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น NRTIs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors), NNRTIs (Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors), PIs (Protease Inhibitors) และ INSTIs (Integrase Inhibitors) ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อลดโอกาสดื้อยา
    • การเริ่มการรักษาเร็ว (Early Initiation of Treatment) การเริ่ม ART ทันทีที่ทราบว่าติดเชื้อสามารถช่วยลดความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
    • การติดตามผล ผู้ป่วยต้องตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อติดตามระดับ CD4 และปริมาณไวรัสในร่างกาย (Viral Load) การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคร่วมอื่น ๆ
    • การรักษาภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อราในการรักษาโรคฉวยโอกาส การดูแลภาวะโภชนาการ และสุขภาพจิตเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
    • การสนับสนุนทางจิตใจ และสังคม ผู้ป่วยควรได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุน เพื่อช่วยรับมือกับความเครียด และความกังวลที่อาจเกิดขึ้น

    การป้องกันเอชไอวี

    • การใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • ยาเพร็พ (PrEP) ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
    • ยาเป๊ป (PEP) ยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อ ควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการสัมผัส
    • การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจเอชไอวีเป็นประจำช่วยให้ทราบสถานะสุขภาพ และเริ่มการรักษาได้ทันที

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    เอชไอวีไม่ใช่คำพิพากษาให้ชีวิตต้องสิ้นสุด หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และยืนยาว การป้องกัน และการตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง และรักษาสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ การให้ความรู้ที่ถูกต้อง และการลดอคติต่อผู้ติดเชื้อในสังคมจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save