Tag: โรคหนองในเทียม

  • โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียม เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ( STI) ที่พบได้บ่อย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคหนองในแท้ แต่มีสาเหตุและลักษณะบางประการที่แตกต่างกัน 

    โรคหนองในเทียม สาเหตุ อาการ และการรักษา

    โรคหนองในเทียมคืออะไร?

    โรคหนองในเทียม (Non-Gonococcal Urethritis หรือ NSU) เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะในเพศชาย หรืออวัยวะสืบพันธุ์ในเพศหญิง ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อหนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae) แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยโรคนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย

    สาเหตุของโรคหนองในเทียม

    โรคหนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือจุลชีพหลายชนิด ได้แก่:

    • Chlamydia trachomatis เป็นสาเหตุหลักของโรคหนองในเทียม พบได้ประมาณ 40% ของผู้ติดเชื้อ
    • Ureaplasma urealyticum แบคทีเรียที่พบได้บ่อยในระบบสืบพันธุ์
    • Trichomonas vaginalis ปรสิตที่ก่อให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์
    • Mycoplasma genitalium แบคทีเรียที่สามารถทำให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง
    • เชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) หรือ HPV (Human Papillomavirus)

    อาการของโรคหนองในเทียม

    อาการของโรคหนองในเทียมอาจแตกต่างกันระหว่างเพศชาย และหญิง และบางรายอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่ที่พบบ่อยมีดังนี้

    ในเพศชาย

    • มีของเหลวสีขาวขุ่นหรือหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • ระคายเคือง และคันบริเวณปลายท่อปัสสาวะ
    • อาการบวมแดงที่ปลายอวัยวะเพศ
    • ในบางกรณีอาจมีอาการปวดหรือบวมบริเวณลูกอัณฑะ

    ในเพศหญิง

    • ตกขาวผิดปกติ ลักษณะเป็นมูกปนหนอง และมีกลิ่นเหม็น
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • เจ็บหรือปวดท้องน้อย โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
    • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
    • อาการคันหรือแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ

    ในบริเวณอื่น ๆ

    • การติดเชื้อทางทวารหนัก: อาจมีหนองไหล เจ็บหรือปวดบริเวณดังกล่าว
    • การติดเชื้อทางปาก: อาจมีอาการเจ็บคอ ไอ หรือไข้เล็กน้อย

    การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม

    แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคหนองในเทียมโดย

    • ซักประวัติ และอาการ ประเมินความเสี่ยง และพฤติกรรมทางเพศของผู้ป่วย
    • การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง เช่น ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะในผู้ชาย หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูกในผู้หญิง
    • การตรวจย้อมสี และกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบในเนื้อเยื่อ
    • การเพาะเชื้อ ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อ
    • การตรวจ Chlamydial Test ใช้เทคนิค PCR เพื่อตรวจหาเชื้อ Chlamydia trachomatis โดยตรง
    การรักษาโรคหนองในเทียม

    การรักษาโรคหนองในเทียม

    โรคหนองในเทียมสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมตามชนิดของเชื้อ เช่น

    • Azithromycin ใช้ปริมาณ 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
    • Doxycycline รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 7 วัน
    • Erythromycin ใช้ในกรณีผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์หรือแพ้ยากลุ่มอื่น
    • Roxithromycin ใช้ในปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน

    ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และรับประทานยาจนครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม

    วิธีป้องกันโรคหนองในเทียม

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคนหรือการไม่ใช้ถุงยางอนามัย
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือสิ่งของที่สัมผัสกับสารคัดหลั่ง
    • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ทำความสะอาดอวัยวะเพศหลังการมีเพศสัมพันธ์

    ผลกระทบของโรคหนองในเทียมหากไม่ได้รับการรักษา

    หากปล่อยให้โรคหนองในเทียมลุกลาม อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น

    • ภาวะมีบุตรยาก เกิดจากการอักเสบในระบบสืบพันธุ์
    • อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) ในผู้หญิง
    • อัณฑะอักเสบ ในผู้ชาย
    • การเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น เอชไอวีหรือซิฟิลิส

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง การป้องกันโรคด้วยการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และแพร่กระจายโรค อย่ารอช้าหากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจ และรักษาอย่างทันท่วงที

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save