Tag: เชื้อแบคทีเรีย

  • รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณรอบ ๆ ในบางกรณีอาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวม และเกิดเป็นฝีหนอง โรคนี้พบมากในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง และในกลุ่มผู้ที่มีคู่นอนหลายคนโดยไม่ใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสม แม้ว่าโรคแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงขึ้น ดังนั้น การป้องกัน และรู้เท่าทันโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    รู้ทันโรคแผลริมอ่อน ป้องกันก่อนจะสายเกินไป

    โรคแผลริมอ่อน คืออะไร?

    โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศ และสามารถแพร่กระจายไปยังคู่นอนได้ง่ายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสโดยตรงกับแผลที่ติดเชื้อ

    โรคนี้สามารถพบได้ใน ทั้งชาย และหญิง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    การแพร่กระจายของโรคแผลริมอ่อน

    โรคแผลริมอ่อนแพร่กระจายผ่าน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ติดเชื้อ

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (ช่องคลอด ทวารหนัก หรือออรัลเซ็กซ์)
    • การสัมผัสแผลโดยตรง เช่น การสัมผัสแผลที่มีเชื้อโดยไม่ได้ล้างมือ และนำไปสัมผัสส่วนอื่นของร่างกาย
    • จากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอด (กรณีที่มารดามีแผลริมอ่อน และคลอดทางช่องคลอด)

    อาการของโรคแผลริมอ่อน

    อาการของโรคแผลริมอ่อนมักปรากฏภายใน 3-10 วัน หลังจากได้รับเชื้อ โดยลักษณะอาการหลัก ๆ มีดังนี้

    • แผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศ
      • ลักษณะของแผลมีขอบนูนแดง และเป็นหนอง
      • แผลมักมีลักษณะ เจ็บปวด และอาจมีขนาดแตกต่างกันไป
      • แผลสามารถเกิดขึ้นเป็นแผลเดียวหรือหลายแผลกระจายตัว
      • อาจมีเลือดซึมออกมาจากแผลเมื่อสัมผัส
    • ต่อมน้ำเหลืองโต และอักเสบ
      • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบอาจ บวมโต เจ็บปวด และเกิดเป็นฝีหนอง
      • ฝีหนองอาจแตกออก ทำให้มีของเหลวไหลออกมา
      • ในบางกรณี ต่อมน้ำเหลืองอักเสบอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดในการเดินหรือเคลื่อนไหว
    • อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วม
      • มีไข้ต่ำ ๆ
      • รู้สึกไม่สบายตัว
      • อาการปวดหรือเจ็บแผลขณะปัสสาวะหรือขณะมีเพศสัมพันธ์

    หากไม่รับการรักษาอย่างถูกต้อง แผลอาจลุกลาม และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงขึ้น

    ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลริมอ่อน

    หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคแผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น เช่น

    • แผลลุกลาม และติดเชื้อแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี แผลอาจเกิดการอักเสบรุนแรงจนเป็นแผลเรื้อรัง
    • การติดเชื้อเอชไอวีง่ายขึ้น ผู้ที่มีแผลริมอ่อนมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติในการติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากแผลเปิดทำให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
    • เกิดแผลเป็น หรือความผิดปกติของอวัยวะเพศ หากแผลหายช้า หรือมีการอักเสบซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดพังผืด และรอยแผลเป็นที่อวัยวะเพศ
    • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบจนเป็นฝีหนองขนาดใหญ่ ฝีหนองที่ขาหนีบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง และทำให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง
    แนวทางการรักษาโรคแผลริมอ่อน

    แนวทางการรักษาโรคแผลริมอ่อน

    โรคแผลริมอ่อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi อย่างมีประสิทธิภาพ

    • การใช้ยาปฏิชีวนะ
      • Azithromycin ขนาด 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
      • Ceftriaxone ขนาด 250 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
      • Erythromycin ขนาด 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
    • การดูแลแผล
      • ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดทุกวัน
      • หลีกเลี่ยงการแกะแผลเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
      • หากมีฝีหนองที่ขาหนีบ อาจต้องให้แพทย์ทำการระบายหนองออก
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา ควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะแน่ใจว่าโรคหายขาดและไม่มีการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

    วิธีป้องกันโรคแผลริมอ่อน

    เนื่องจากโรคนี้แพร่กระจายผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก การป้องกันที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ โดยสามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงแผลริมอ่อน
    • ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุก 6 เดือน หรือบ่อยขึ้นหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
    • ห ลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล หากพบว่าคู่ของคุณมีแผลผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการวินิจฉัย และรักษา
    • ดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศ ล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำอุ่น ละสบู่อ่อน ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถป้องกันได้หากมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย การใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และมีการดูแลสุขอนามัยที่ดี จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ หากพบอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจรักษาทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าเดิม

  • อันตรายของโรคหนองใน : รู้ก่อน ป้องกันได้

    อันตรายของโรคหนองใน : รู้ก่อน ป้องกันได้

    โรคหนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก โรคนี้ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เพราะหากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และระบบสืบพันธุ์ในระยะยาว

    อันตรายของโรคหนองใน รู้ก่อน ป้องกันได้

    โรคหนองใน คืออะไร?

    โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae จะเจริญเติบโตในพื้นที่ที่มีความชื้น เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก คอหอย และเยื่อบุตา

    โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ และทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย

    การติดต่อของโรคหนองใน

    • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ติดต่อได้ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก
    • การสัมผัสกับของเหลวที่มีเชื้อ น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด หรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ
    • จากแม่สู่ลูก หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกระหว่างการคลอด ส่งผลให้ทารกมีปัญหาที่ดวงตา เช่น ติดเชื้อที่ตาหรืออาจทำให้ตาบอด

    อาการของโรคหนองใน

    อาการของโรคหนองในอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจน ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

    อาการในเพศชาย

    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • มีหนองสีขาว เหลือง หรือเขียวไหลจากท่อปัสสาวะ
    • เจ็บหรือบวมบริเวณลูกอัณฑะ

    อาการในเพศหญิง

    • ตกขาวผิดปกติ เช่น มีสีเหลืองหรือเขียว
    • ปัสสาวะแสบหรือขัด
    • เจ็บในอุ้งเชิงกราน หรือปวดท้องน้อย
    • มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน

    อาการที่เกิดจากการติดเชื้อในส่วนอื่น

    • ทวารหนัก อาจมีอาการปวด เจ็บ หรือมีหนองไหลออกมา
    • คอหอย อาจมีอาการเจ็บคอคล้ายต่อมทอนซิลอักเสบ
    • ดวงตา เกิดอาการแดง เจ็บ หรือมีหนองไหล

    อันตรายของโรคหนองในหากไม่ได้รับการรักษา

    • ภาวะมีบุตรยาก
      • ในเพศหญิง การติดเชื้ออาจลุกลามเข้าสู่มดลูก และปีกมดลูก ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ซึ่งส่งผลต่อการตั้งครรภ์
      • ในเพศชาย การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการอักเสบในท่อนำอสุจิ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก
    • การติดเชื้อในกระแสเลือด เชื้อหนองในสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการติดเชื้อในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ข้อต่อ หัวใจ และสมอง
    • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ติดเชื้อหนองในมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการติดเชื้อเอชไอวีหากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
    • การแพร่กระจายเชื้อสู่ทารก ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหนองในมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตา ซึ่งอาจนำไปสู่การตาบอด

    การวินิจฉัยโรคหนองใน

    • การเก็บตัวอย่าง การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ ช่องคลอด หรือทวารหนักเพื่อตรวจหาเชื้อ
    • การตรวจปัสสาวะ ใช้สำหรับตรวจหาเชื้อในท่อปัสสาวะ
    • การเพาะเชื้อ การเพาะเชื้อแบคทีเรียเพื่อยืนยันผล และระบุความไวต่อยาปฏิชีวนะ
    การรักษาโรคหนองใน

    การรักษาโรคหนองใน

    • ยาปฏิชีวนะ การรักษาโรคหนองในต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ceftriaxone ร่วมกับ Azithromycin หรือ Doxycycline เพื่อกำจัดเชื้อ แพทย์จะกำหนดขนาดยา และระยะเวลาการใช้ยาตามความเหมาะสม
    • การรักษาคู่นอน คู่นอนของผู้ป่วยควรได้รับการตรวจ และรักษาเช่นเดียวกัน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ
    • การติดตามผล ผู้ป่วยควรตรวจซ้ำหลังการรักษา เพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์

    การป้องกันโรคหนองใน

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคในระยะแรก
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การลดจำนวนคู่นอนช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ
    • การพูดคุยเรื่องเพศศึกษา การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศช่วยสร้างความตระหนักรู้ และลดการแพร่กระจายโรค

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคหนองใน เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค การป้องกัน และการตรวจรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพตนเอง และคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจ และปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อป้องกันอันตรายในอนาคต.

  • โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการและการรักษา

    โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการและการรักษา

    โรคซิฟิลิส เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และยังคงเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญในปัจจุบัน โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์  หรือการสัมผัสแผลที่ติดเชื้อโดยตรง แม้ว่าโรคซิฟิลิสจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาในระยะแรก โรคนี้อาจลุกลามและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น ระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ

    การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคซิฟิลิส อาการ วิธีการติดต่อ และการรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเพศที่ดีในสังคม การตรวจและรักษาที่ทันท่วงทีจึงเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการโรคนี้

    โรคซิฟิลิส คืออะไร? รู้จักอาการ และการรักษา

    โรคซิฟิลิส คืออะไร?

    โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum เชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อ โรคซิฟิลิสมีความซับซ้อน และสามารถลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง และระบบประสาท

    โรคซิฟิลิสสามารถพบได้ในทุกเพศและทุกวัย การตระหนักถึงโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

    สาเหตุของโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่าน

    • การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสแผลที่เกิดจากซิฟิลิสในบริเวณอวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก
    • จากแม่สู่ลูก หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกระหว่างการตั้งครรภ์หรือการคลอด
    • การสัมผัสโดยตรงกับแผลติดเชื้อ การสัมผัสแผลริมแข็งที่เกิดจากซิฟิลิสโดยตรง เช่น ผ่านการสัมผัสด้วยมือ
    • การถ่ายเลือดที่ปนเปื้อน แม้จะพบได้น้อยในปัจจุบัน เนื่องจากมีการตรวจสอบเลือดที่เข้มงวด

    อาการของโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสมีอาการที่พัฒนาเป็น 4 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน

    • ระยะแรก (Primary Syphilis) เกิดแผลเล็ก ๆ ที่เรียกว่า แผลริมแข็ง แผลมีลักษณะกลม เรียบ ไม่เจ็บ และมักพบที่บริเวณที่สัมผัสเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก แผลอาจหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย
    • ระยะที่สอง (Secondary Syphilis) มีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือทั่วร่างกาย อาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการอาจหายไปเอง แต่เชื้อยังคงอยู่
    • ระยะแฝง (Latent Syphilis) ไม่มีอาการแสดงชัดเจน ระยะนี้สามารถกินเวลาหลายปี แต่เชื้อยังคงมีอยู่ และสามารถเข้าสู่ระยะสุดท้ายได้
    • ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis) เชื้อซิฟิลิสทำลายอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง สมองเสื่อม หรือหลอดเลือดโป่งพอง
    การรักษาโรคซิฟิลิส

    การรักษาโรคซิฟิลิส

    โรคซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคในขณะรับการรักษา

    • ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ Penicillin G Benzathine เป็นยามาตรฐานสำหรับการรักษาซิฟิลิส ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยจำนวนครั้งขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสำหรับผู้แพ้ Penicillin แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทางเลือก เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin
    • การติดตามผล ผู้ป่วยควรตรวจติดตามผลหลังจากรับการรักษา เพื่อยืนยันว่าเชื้อได้รับการกำจัดอย่างสมบูรณ์ ด้วยการตรวจเลือดซ้ำเพื่อวัดระดับแอนติบอดี และตรวจสอบผลการรักษา
    • การรักษาคู่นอน คู่นอนของผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจ และรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อซ้ำ

    การป้องกันโรคซิฟิลิส

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถุงยางอนามัยช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบเชื้อในระยะแรก
    • ลดพฤติกรรมเสี่ยง หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
    • การให้ความรู้ และพูดคุยเรื่องเพศศึกษา การส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อ

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การตระหนักรู้ถึงอาการ และการตรวจรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง ฉะนั้นโรคซิฟิลิสไม่ใช่โรคที่ควรรู้สึกอาย แต่ควรมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจ และปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save