Tag: Cd4

  • หยุดตีตราผู้ป่วยเอชไอวีด้วยความรู้เรื่อง U=U

    หยุดตีตราผู้ป่วยเอชไอวีด้วยความรู้เรื่อง U=U

    ในอดีตเอชไอวี (HIV) มักถูกมองว่าเป็นโรคที่น่ากลัวและนำไปสู่การเสียชีวิต แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยเฉพาะการใช้ยาต้านไวรัส ART ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตยืนยาวใกล้เคียงคนทั่วไป และที่สำคัญคือ ไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากควบคุมไวรัสจนตรวจไม่พบ หรือที่เรียกว่า U=U (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งการให้ความรู้เรื่อง U=U ไม่เพียงแต่เปลี่ยนชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี แต่ยังช่วยลดการตีตราในสังคม เปิดโอกาสให้เกิดความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม

    หยุดตีตราผู้ป่วยเอชไอวีด้วยความรู้เรื่อง U=U

    เอชไอวี คืออะไร?

    HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันค่อย ๆ อ่อนแอลง โดยจับและเข้าสู่ เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 (T-helper cell) ซึ่งเป็นผู้สั่งการ ให้ภูมิคุ้มกันส่วนอื่นทำงาน เมื่อไวรัสเข้าเซลล์ได้แล้ว จะใช้กลไกของเซลล์เพื่อสร้างไวรัสตัวใหม่ ๆ จน เซลล์ถูกทำลาย และจำนวน CD4 ลดลงเรื่อย ๆ

    หาก ไม่รักษา ระดับ CD4 ที่ต่ำลงจะทำให้ร่างกายเสี่ยง ติดเชื้อฉวยโอกาส (เช่น ปอดอักเสบจากเชื้อบางชนิด เชื้อรา วัณโรค) และบางรายอาจเข้าสู่ระยะ เอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นคำเรียกภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องขั้นรุนแรง (มักใช้เกณฑ์ CD4 < 200 เซลล์/มม.³ หรือมีโรคฉวยโอกาสตามเกณฑ์วินิจฉัย)

    ข่าวดีคือ ปัจจุบันมี ยาต้านไวรัส ART ที่มีประสิทธิภาพสูง กินวันละครั้งในหลายสูตร กดปริมาณไวรัสให้ต่ำมากจนตรวจไม่พบ ช่วยให้ CD4 ฟื้นตัว คุณภาพชีวิตกลับมาใกล้เคียงคนทั่วไป และยืดอายุได้ยาวนาน

    เอชไอวีติดต่ออย่างไร?

    ติดต่อได้ผ่าน

    • การมีเพศสัมพันธ์โดย ไม่มีการป้องกัน (ช่องคลอด/ทวารหนัก/ปาก) เมื่อมีการสัมผัสเลือด น้ำอสุจิ หรือสารคัดหลั่ง
    • เลือด/เข็มฉีดยาร่วมกัน
    • แม่สู่ลูก ระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม (ความเสี่ยงลดลงอย่างมากเมื่อแม่ได้รับ ART อย่างเหมาะสม)

    ไม่ติดต่อผ่าน

    • การกอด จับมือ ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ใช้ช้อนส้อมร่วมกัน น้ำลาย เหงื่อ น้ำตา ยุงกัด ฯลฯ (ในชีวิตประจำวันทั่วไป)

    การตรวจ และการวินิจฉัย

    • การตรวจสมัยใหม่ (ตรวจแอนติเจน/แอนติบอดีรุ่นที่ 4, การตรวจสารพันธุกรรม) ช่วยลดช่วง Window period ที่ผลอาจยังเป็นลบ ทั้งนี้ควรตรวจซ้ำตามช่วงเวลาที่แนะนำถ้ามีความเสี่ยง
    • หากผล บวก จะมีการตรวจยืนยัน และเริ่มประเมิน CD4 ควบคู่กับ Viral Load เพื่อวางแผนรักษา
    • แนวคิดใหม่ คือ ตรวจพบ → รักษาเลย (same-day/rapid start) เพราะยิ่งเริ่มยาเร็ว ผลลัพธ์ยิ่งดี

    U=U คืออะไร?

    U=U ย่อมาจาก Undetectable = Untransmittable หมายความว่า ผู้ติดเชื้อที่กิน ART อย่างสม่ำเสมอจนปริมาณไวรัสในเลือดต่ำกว่าขีดตรวจพบของแล็บ (บางแนวทางใช้เกณฑ์ต่ำมาก/กดไวรัสอย่างยั่งยืน เช่น <200 copies/mL) จะไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ให้คู่ของตน

    หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันชัดเจน จากการศึกษาขนาดใหญ่ (เช่น HPTN 052, PARTNER, Opposites Attract) ที่ติดตามครั้งมีเพศสัมพันธ์นับหมื่น–แสนครั้ง ในคู่ต่างสถานะเอชไอวีและ ไม่พบการถ่ายทอดเชื้อเลย เมื่อผู้ติดเชื้อมีผล ตรวจไม่พบไวรัสอย่างต่อเนื่อง

    สำคัญ: U=U ยืนยัน เฉพาะการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์

    • ไม่ได้เท่ากับหายขาด
      ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (ซิฟิลิส หนองใน HPV ฯลฯ)
    • เรื่องแม่-ลูกยังต้องมีมาตรการเฉพาะ (ฝากครรภ์เร็ว กดไวรัสระหว่างตั้งครรภ์/คลอด/หลังคลอด ตามแนวทาง)

    ทำไม U=U ถึงเปลี่ยนเกม?

    ต่อผู้ติดเชื้อ

    • ลดความกลัว ว่าจะเผลอถ่ายทอดเชื้อให้คนรัก
    • มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น วางแผนความสัมพันธ์/ครอบครัวได้อย่างมั่นใจ
    • ลดการตีตราตนเอง (self-stigma) เพราะรู้ว่าฉันไม่แพร่เชื้อ เมื่อรักษาต่อเนื่อง

    ต่อสังคม

    • ลดอคติและความเข้าใจผิด ว่าอยู่ใกล้แล้วเสี่ยงติด
    • กระตุ้นให้คนเข้ารับการตรวจและรักษา เพราะเห็นปลายทางที่ปลอดภัย
    • ช่วยชะลอการระบาด: เมื่อกดไวรัสในผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โอกาสเกิดการติดเชื้อรายใหม่ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    CD4 กับ Viral Load ต่างกันอย่างไร และเกี่ยวอะไรกับ U=U

    • CD4 = กำลังภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย (ยิ่งสูงยิ่งดี)
    • Viral Load (VL) = ปริมาณไวรัสในเลือด (ยิ่งต่ำยิ่งดี เป้าหมาย คือ ตรวจไม่พบ)

    สองค่านี้ต้องใช้ คู่กัน

    • ถ้า VL ตรวจไม่พบแต่ CD4 ยังต่ำ = ควบคุมไวรัสได้แล้ว แต่อีกระยะหนึ่งภูมิจะค่อย ๆ ฟื้น → ป้องกันโรคฉวยโอกาสตามแพทย์สั่ง
    • ถ้า VL สูง + CD4 ต่ำ = เสี่ยงสูง ต้องเร่งจัดการ
    • การรักษา ART ที่ดีคือ VL ต่ำจนตรวจไม่พบอย่างยั่งยืน และ CD4 ฟื้นตัว ตามเวลา
    แนวทาง หรือแผนการที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมาย U=U ได้

    แนวทาง หรือแผนการที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมาย U=U ได้

    • เริ่มยาต้านไวรัส ART ให้เร็วที่สุด หลังทราบผล
    • กินยาให้ตรงเวลา สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการลืม/หยุดยาเอง
    • ตรวจติดตาม Viral Load (เช่น 1–3 เดือนหลังเริ่มยา แล้วทุก 3–6 เดือน) และ CD4 ตามแพทย์กำหนด
    • ทบทวนยาร่วม/สมุนไพร–อาหารเสริม ที่อาจมีปฏิกิริยาต่อยาต้าน
    • ดูแลสุขภาพองค์รวม–อาหารครบหมู่ นอนพอ ออกกำลัง เลิกบุหรี่–แอลกอฮอล์ ลดเครียด
    • พิจารณาสูตรที่เหมาะ: ยาเม็ดรายวัน หรือ ยาฉีดออกฤทธิ์ยาว (ในผู้ที่กดไวรัสได้แล้วและเข้าเกณฑ์)

    เคล็ดลับ: ส่วนใหญ่จะกดไวรัสจนตรวจไม่พบ ได้ภายในไม่กี่เดือนแรก หากกินยาสม่ำเสมอและไม่มีปัจจัยแทรก

    การตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี : คืออะไร และทำไมต้องหยุดให้ได้

    • การตีตราคืออะไร?
      • การตีตรา (Stigma) หมายถึงการที่สังคมมองบุคคลหนึ่ง ๆ ในแง่ลบเพียงเพราะเขามีภาวะหรือโรค เช่น เอชไอวี ผู้ติดเชื้อมักถูกมองว่าผิด หรืออันตราย ส่งผลให้ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกีดกัน และบางครั้งถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
    • ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตีตรา
      • ความไม่รู้ – คนจำนวนมากยังเข้าใจผิดเรื่องวิธีการแพร่เชื้อเอชไอวี เช่น คิดว่าสามารถติดจากการกอดหรือใช้ช้อนร่วมกัน
      • อคติทางเพศ – เอชไอวีมักถูกเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศที่สังคมบางส่วนมองว่าไม่เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน หรือการมีคู่นอนหลายคน
      • ความกลัวที่สืบต่อกันมา – ข่าวสารในยุคแรกของการแพร่ระบาด (ทศวรรษ 1980–1990) มักสร้างภาพว่าเอชไอวีคือ โรคตาย ความกลัวนี้ฝังรากลึกจนสืบทอดมาถึงปัจจุบัน แม้ความรู้และการรักษาจะพัฒนาไปไกลแล้ว
    • ผลเสียของการตีตรา
      • ต่อสุขภาพกาย
        • ผู้ติดเชื้ออาจกลัวถูกตัดสิน จึงหลีกเลี่ยงการตรวจเลือดหรือการเข้ารับการรักษา
        • ทำให้เข้าสู่การรักษาช้า ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันแย่ลงและเกิดโรคฉวยโอกาสได้ง่าย
      • ต่อสุขภาพจิต
        • เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
        • หลายคนเกิดการตีตราตนเอง มองว่าตนไม่คู่ควรกับการใช้ชีวิตหรือความรัก
      • ต่อเศรษฐกิจและสังคม
        • ถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน โรงเรียน หรือชุมชน
        • สูญเสียโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
      • ต่อสาธารณสุข
        • คนทั่วไปไม่กล้าไปตรวจเอชไอวี เพราะกลัวถูกตีตราหากผลเป็นบวก
        • ส่งผลให้แผนการควบคุมการระบาดล่าช้าและไม่บรรลุเป้าหมาย
    • ลดการตีตราด้วยความรู้เรื่อง U=U
      • การสื่อสารเรื่อง U=U (Undetectable = Untransmittable) อย่างถูกต้องจะช่วยลดการตีตราได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแสดงให้เห็นว่า:
      • ผู้ติดเชื้อที่รักษาตามมาตรฐาน ไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ อีกต่อไป
      • เอชไอวีคือภาวะสุขภาพที่จัดการได้ ไม่ใช่คำตัดสินโทษประหาร

    วิธีการสื่อสารเรื่อง U=U ให้คนทั่วไปเข้าใจ

    • ใช้ข้อมูลสากลที่น่าเชื่อถือ เช่น WHO, UNAIDS, CDC
    • เลือกภาษาเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ทันที
    • หลีกเลี่ยงคำที่ตีตรา เช่น พาหะ ควรใช้คำว่า ผู้ติดเชื้อ หรือ ผู้มีเชื้อ
    • กระตุ้นการตรวจเอชไอวี โดยสื่อสารว่าการรู้ผลเร็ว = รักษาได้เร็ว และเข้าถึง U=U ได้เร็ว

    บทบาทของครอบครัวและสังคม

    • ครอบครัว: ควรเป็นแหล่งพลังใจและการสนับสนุน ไม่ซ้ำเติมหรือกีดกัน
    • โรงเรียนและที่ทำงาน: ควรมีนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ เปิดโอกาสอย่างเท่าเทียม
    • สื่อมวลชน: ควรนำเสนอข่าวสารเชิงบวก อิงวิทยาศาสตร์ ลดการใช้ถ้อยคำสร้างความกลัว

    บทบาทของผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    • กินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ Viral Load ตรวจไม่พบ
    • ตรวจสุขภาพตามนัด และติดตามค่า CD4, Viral Load
    • สื่อสารเรื่อง U=U กับคู่รัก ครอบครัว และเพื่อน เพื่อสร้างความเข้าใจ
    • เป็นกระบอกเสียง ในการรณรงค์หยุดการตีตรา

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    U=U คือความหวังและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสสม่ำเสมอและมี Viral Load ตรวจไม่พบ จะไม่แพร่เชื้อให้คู่ทางเพศอีกต่อไป การสื่อสารและเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้คือกุญแจสำคัญในการ หยุดการตีตรา และสร้างสังคมที่เข้าใจและอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม

    เอกสารอ้างอิง

    • World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:
      https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
    • UNAIDS. Undetectable = Untransmittable (U=U): Public health and HIV prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2022/may/20220503_undetectable-untransmittable
    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Effect of Undetectable Viral Load on HIV Transmission. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก:  https://www.cdc.gov/hiv/basics/undetectable.html
    • กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค. ข้อมูลเอชไอวี/เอดส์ และแนวทางการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/disease/detail/33
    • โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติในประเทศไทย (UNAIDS Thailand). รายงานสถานการณ์เอชไอวีและการลดการตีตราในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/regionscountries/countries/thailand
  • ตรวจ CD4 อย่างไร? เมื่อไหร่ควรตรวจ? คำตอบสำคัญสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    ตรวจ CD4 อย่างไร? เมื่อไหร่ควรตรวจ? คำตอบสำคัญสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไม่ได้หมายความว่าชีวิตต้องหยุดลง ปัจจุบัน การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ติดตามสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ การตรวจ CD4 ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน และตัดสินใจด้านการรักษาได้อย่างแม่นยำ

    บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกแง่มุมของการตรวจ CD4 ตั้งแต่ความหมาย วิธีการตรวจ ความถี่ในการตรวจ จนถึงการแปลผล เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ตรวจ CD4 อย่างไร? เมื่อไหร่ควรตรวจ? คำตอบสำคัญสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    CD4 คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ

    CD4 หรือ CD4 T-lymphocytes คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ที-เฮลเปอร์ (T-helper cell) ที่ทำหน้าที่ บัญชาการ ระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายพบเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม เซลล์ CD4 จะหลั่งสัญญาณ (ไซโตไคน์) เพื่อ กระตุ้น ประสานงาน และกำกับ การทำงานของทหารตัวอื่น ๆ เช่น ที-เซลล์ชนิดทำลาย (CD8), บี-เซลล์ที่ผลิตแอนติบอดี และมาโครฟาจให้กำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จำนวน และคุณภาพของ CD4 จึงสะท้อน ศักยภาพการป้องกันโรค ของทั้งระบบภูมิคุ้มกัน

    ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไวรัสจะจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ CD4 แล้วเข้าสู่เซลล์เพื่อเพิ่มจำนวน ส่งผลให้ เซลล์ CD4 ถูกทำลายเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการรักษา จำนวน CD4 จะค่อย ๆ ลดต่ำลงจนภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเสี่ยงต่อ การติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) เช่น วัณโรค ปอดบวมจากเชื้อฉวยโอกาส เชื้อราในสมอง/เยื่อหุ้มสมอง หรือมะเร็งบางชนิด เมื่อ CD4 < 200 เซลล์/ไมโครลิตร (cells/µL) โดยทั่วไปจะจัดอยู่ในเกณฑ์โรคเอดส์ (AIDS) เพราะความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงมาก

    ทำไมต้องตรวจ CD4?

    แม้แนวทางปัจจุบันแนะนำให้ เริ่มยาต้านไวรัส (ART) ทันทีหลังวินิจฉัย โดยไม่รอค่า CD4 แต่การตรวจ CD4 ยังสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้

    • ประเมินความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันปัจจุบัน ค่าจำนวน CD4 (absolute CD4 count, หน่วย cells/µL) บอกระดับการป้องกันของร่างกาย ณ ช่วงเวลานั้น ๆ หากค่าต่ำมาก แพทย์จะเฝ้าระวังการติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาให้ยาป้องกัน (prophylaxis) ต่อบางเชื้อ
    • ช่วยตัดสินใจด้านการรักษา และการป้องกันร่วม ถึงแม้จะเริ่ม ART ทันที แต่ค่า CD4 ตั้งต้นช่วยกำหนดแผนเฝ้าระวัง เช่น ความถี่ในการติดตามโรคติดต่อฉวยโอกาส วัคซีนที่ควรได้รับ และการให้คำแนะนำเชิงพฤติกรรมอย่างเข้มข้นในช่วงภูมิคุ้มกันยังต่ำ
    • ติดตามประสิทธิภาพของการรักษา เมื่อทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ และ ไวรัสกดต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable) ค่า CD4 โดยมากจะค่อย ๆ ฟื้นตัว การตรวจ CD4 เป็นระยะช่วยดูแนวโน้มว่าภูมิคุ้มกันกำลังฟื้นดีหรือชะงัก และช่วยแพทย์ค้นหาปัจจัยแทรกซ้อนที่อาจกดภูมิ เช่น การติดเชื้ออื่น ยาบางชนิด ภาวะโภชนาการ หรือความเครียดเรื้อรัง
    • คาดการณ์ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน CD4 ที่ต่ำยาวนานสัมพันธ์กับความเสี่ยงการติดเชื้อฉวยโอกาส และภาวะแทรกซ้อนอื่นมากขึ้น การรู้ค่าตัวเองทำให้ทั้งผู้ป่วย และทีมรักษาบริหารความเสี่ยงได้ถูกจุด

    ค่ามาตรฐาน และการตีความเบื้องต้น

    • คนทั่วไป: ราว 500–1,500 cells/µL (ช่วงปกติคร่าว ๆ)
    • ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
      • >500 ภูมิคุ้มกันค่อนข้างแข็งแรง
      • 200–500 เริ่มเสี่ยงต่อบางการติดเชื้อ ต้องติดตามใกล้ชิด
      • <200 เสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส จัดเป็นเกณฑ์เอดส์

    หมายเหตุ: นอกจากจำนวน CD4 แพทย์อาจดู เปอร์เซ็นต์ CD4 (%CD4) โดยเฉพาะในเด็ก หรือในกรณีที่จำนวนเม็ดเลือดเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยอื่น

    ค่า CD4 ปกติ และการแปลผล

    ในคนทั่วไปที่มีสุขภาพดี ค่า CD4 มักอยู่ระหว่าง 500–1,500 cells/μL

    การแปลผลในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    • >500 cells/μL – ภูมิคุ้มกันแข็งแรง
    • 200–500 cells/μL – ภูมิคุ้มกันเริ่มลดลง เสี่ยงติดเชื้อบางชนิด
    • <200 cells/μL – เสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส จัดเป็นเกณฑ์วินิจฉัยเอดส์ (AIDS)

    นอกจากค่าตัวเลขแล้ว แพทย์จะพิจารณาร่วมกับ Viral Load (ปริมาณไวรัสในเลือด) เพื่อประเมินภาพรวมของสุขภาพ

    เมื่อไหร่ควรตรวจ CD4?

    การนัดตรวจ CD4 ไม่ได้มีสูตรตายตัวสำหรับทุกคน เพราะ ความถี่จะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ช่วงเวลาเริ่มหรือเปลี่ยนการรักษา และเสถียรภาพของผลเลือดโดยรวม (โดยเฉพาะ viral load) เป้าหมายคือให้แพทย์ และตัวคุณ เห็นแนวโน้ม ว่าภูมิคุ้มกันกำลังฟื้นตัวหรือมีสัญญาณน่าเป็นห่วงที่ต้องปรับแผน

    ก่อนเริ่มยาต้านไวรัส ART

    ก่อนเริ่มยา ควรตรวจ CD4 เพื่อเป็น ค่าตั้งต้น (baseline) ช่วยให้รู้ระดับภูมิคุ้มกันจริง ณ วันเริ่มรักษา และเป็นหลักอ้างอิงเทียบกับผลในอนาคต แม้แนวทางสมัยใหม่จะแนะนำให้เริ่ม ART ทันทีหลังวินิจฉัย โดยไม่ต้องรอค่า CD4 แต่ตัวเลขตั้งต้นยังมีประโยชน์มากในการวางแผนเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน และการให้วัคซีน/ยาป้องกันเชื้อฉวยโอกาสในรายที่ CD4 ต่ำมาก

    ระหว่างการรักษา (ช่วง 2 ปีแรก)

    ใน 1–2 ปีแรกหลังเริ่ม ART ร่างกายกำลังรีบูต ภูมิคุ้มกัน ค่า CD4 จึงควรถูกติดตาม ทุก 3–6 เดือน เพื่อดูว่าฟื้นตัวทันใจ และต่อเนื่อง ตามที่คาดหรือไม่ หากแนวโน้มไม่ขยับหรือกลับลดลง ทั้งที่ viral load ถูกกดดี แพทย์จะได้ค้นหาปัจจัยอื่นที่ไปรบกวน เช่น การติดเชื้อแฝง โภชนาการ การนอน หรือยาบางชนิด

    หลังค่าคงที่ และ Viral Load ตรวจไม่พบ

    เมื่อคุณกินยา สม่ำเสมอ จน viral load ตรวจไม่พบต่อเนื่อง และ CD4 ทรงตัวในระดับปลอดภัย การตรวจ CD4 อาจเว้นระยะยาวขึ้น เป็น ปีละครั้ง (หรือมากกว่านั้นตามดุลยพินิจแพทย์) เพื่อคงการเฝ้าระวังโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวันเกินจำเป็น

    เมื่อมีอาการผิดปกติ

    หากมีสัญญาณบอกเหตุ เช่น น้ำหนักลดมากโดยไม่ทราบสาเหตุ ไข้เรื้อรัง เหงื่อออกกลางคืน ติดเชื้อบ่อย/หายช้า ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ ควรพบแพทย์ และ ตรวจ CD4 ทันที โดยแพทย์มักสั่งตรวจ viral load และโรคร่วมอื่น ๆ ไปพร้อมกันเพื่อหาสาเหตุ

    เคสพิเศษที่มักนัดตรวจเพิ่ม: เพิ่งเปลี่ยนสูตรยา/หยุดยาชั่วคราว มีการติดเชื้อฉุกเฉิน หรือต้องวางแผนตั้งครรภ์—แพทย์อาจปรับความถี่ชั่วคราวให้เหมาะกับสถานการณ์

    การตรวจ CD4 ทำอย่างไร

    การตรวจ CD4 ทำอย่างไร?

    การตรวจ CD4 เป็นการตรวจเลือดมาตรฐาน ทำได้ที่โรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ โดยใช้เทคโนโลยี Flow Cytometry เพื่อนับ และ ระบุชนิด เซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างแม่นยำ

    ขั้นตอนทั่วไป

    • เจาะเลือดจากหลอดเลือดดำ เก็บตัวอย่างปริมาณเล็กน้อย
    • วิเคราะห์ด้วยเครื่อง Flow Cytometer แยกชนิดเม็ดเลือด และนับจำนวน CD4 ต่อไมโครลิตร (cells/μL)
    • รายงานผล เป็นจำนวน CD4 และบางแห่งออกรายงาน %CD4 กับ อัตราส่วน CD4/CD8 เพื่อช่วยตีความภาพรวมของภูมิคุ้มกัน

    ระยะเวลารอผล มักอยู่ที่ไม่กี่ชั่วโมงถึง 1–2 วัน ขึ้นกับระบบของแต่ละสถานพยาบาล

    ข้อควรรู้ก่อนตรวจ

    • ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร/น้ำ การกินดื่มตามปกติไม่ทำให้ผลเสียไป
    • ควรตรวจในช่วงที่ร่างกาย ไม่มีไข้สูง/อักเสบเฉียบพลัน เพราะ CD4 อาจเหวี่ยง ชั่วคราว
    • หากเพิ่ง นอนดึกมาก ออกกำลังกายหนัก คาเฟอีนจัด หรือเครียดมาก ๆ ค่าบางช่วงอาจ ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย แนะนำให้รักษาพฤติกรรมการนอนและเวลาตรวจให้สม่ำเสมอ เพื่อเทียบแนวโน้มได้แม่นยำ
    • ถ้าเปลี่ยนห้องแล็บหรือเวลาตรวจบ่อย ๆ อาจทำให้ แนวโน้มเปรียบเทียบยาก ควรยึดที่เดิม/เวลาคล้ายกันเมื่อทำได้

    ปัจจัยที่มีผลต่อค่า CD4 (ทำให้ขึ้น-ลงชั่วคราว)

    ค่า CD4 ไม่ใช่ เทอร์โมมิเตอร์ของเอชไอวี เพียงอย่างเดียว ปัจจัยต่อไปนี้ทำให้ตัวเลขเปลี่ยนได้ชั่วคราว จึงต้องดูแนวโน้มหลายครั้ง มากกว่าผลครั้งเดียว

    • การติดเชื้ออื่น ๆ/การอักเสบ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค)
    • ความเครียดเฉียบพลัน หรือ นอนหลับไม่พอ หลายคืนติดกัน
    • ภาวะโภชนาการไม่ดี/น้ำหนักลดเร็ว
    • ยา และสารบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์ เคมีบำบัด ยาบางกลุ่มที่มีผลต่อเม็ดเลือด)
    • เวลาในวัน และ การออกกำลังกายหนัก ก่อนเจาะเลือด

    เพราะเหตุนี้ แพทย์จึงมักตีความ CD4 คู่กับ viral load และบริบททางคลินิก ไม่ใช้ตัวเลขโดด ๆ

    การดูแลตัวเองให้ค่า CD4 ฟื้นตัว

    หัวใจคือ กดไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบ และทำให้ร่างกายมีสภาพพร้อมสร้างภูมิ ได้ดีที่สุด

    • กินยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา และสม่ำเสมอ (การยึดมั่นตามแผนการรักษา = กุญแจหลัก)
    • รับประทานอาหารครบหมู่ เน้นโปรตีนคุณภาพ ผักผลไม้ และไขมันดี ลดแอลกอฮอล์/บุหรี่
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตามสมควรกับสภาพร่างกาย ช่วยทั้งภูมิคุ้มกันและสุขภาพจิต
    • นอนหลับเพียงพอ และลดความเครียด (การนอนที่ดีทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานเป็นจังหวะ)
    • ตรวจสุขภาพตามนัด รวมถึงคัดกรอง/ฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และรักษาโรคร่วมให้ดี (เช่น ไวรัสตับอักเสบ วัณโรค)
    • หาก CD4 ต่ำมาก แพทย์อาจพิจารณา ยาป้องกันเชื้อฉวยโอกาส ชั่วคราว—อย่าซื้อใช้เอง ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำแพทย์

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การตรวจ CD4 เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะช่วยให้แพทย์ประเมินความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน วางแผนการรักษา และคาดการณ์ความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนได้อย่างแม่นยำ การตรวจสม่ำเสมอร่วมกับการใช้ยาต้านไวรัสตรงเวลา คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดี และยืนยาว

    เอกสารอ้างอิง

    • World Health Organization (WHO). HIV – Basic facts & monitoring. ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ HIV และการใช้ค่า CD4 ในการประเมินระบบภูมิคุ้มกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/health-topics/hiv-aids
    • World Health Organization (WHO). Viral load and CD4 testing – Implementation brief. แนวทางการตรวจ Viral Load และ CD4 สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://apps.who.int/iris/handle/10665/255891
    • UNAIDS. Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. สถิติและภาพรวมสถานการณ์เอชไอวีทั่วโลก พร้อมเป้าหมาย 95-95-95. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
    • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย. แนวทางแห่งชาติการดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ พ.ศ. 2564–2565. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaiaidssociety.org/wp-content/uploads/2022/10/HIV-AIDS-Guideline-2564_2565.pdf
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลและคู่มือเกี่ยวกับเอชไอวีและการตรวจติดตามการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th/das/

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save