Tag: Antiretroviral Therapy

  • HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) หรือเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความกลัว อคติ และการตีตราในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และความเข้าใจทางสังคมที่ดีขึ้น การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้เป็นคำตัดสินประหารชีวิตอีกต่อไป ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หากได้รับการรักษา และดูแลอย่างเหมาะสม

    บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี การวินิจฉัย การรักษายุคใหม่ เช่น ยาต้านไวรัสสูตรปัจจุบัน แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) และวิถีชีวิตของผู้มีเชื้อเอชไอวี ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี และปกติในสังคม

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) คืออะไร?

    เอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี จะพัฒนากลายเป็น โรคเอดส์ (AIDS = Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และมะเร็งบางชนิด

    แต่ด้วยการตรวจพบเชื้อแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที ผู้มีเชื้อสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ได้ และสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

    การวินิจฉัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

    ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ โดยวิธีตรวจหลัก ๆ ได้แก่:

    • การตรวจแอนติบอดี (Antibody Test) เป็นวิธีการตรวจพื้นฐาน และพบมากที่สุด โดยตรวจหา “แอนติบอดี” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี
      • มักใช้ตัวอย่างเลือด หรือของเหลวจากช่องปาก
      • มักสามารถตรวจพบได้ภายใน 3-12 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
      • หากตรวจหลังระยะฟักตัว (window period) จะให้ผลแม่นยำสูง
    • การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) เป็นการตรวจแบบเร่งด่วน โดยรู้ผลภายใน 15-30 นาที
      • นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น
      • ใช้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน
      • มีทั้งแบบเจาะเลือดปลายนิ้ว และใช้ของเหลวในช่องปาก
      • หากผลเป็นบวก จำเป็นต้องยืนยันผลอีกครั้งด้วยวิธีมาตรฐาน
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) เป็นการตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยตรง
      • มีความไว และแม่นยำสูง
      • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 10-33 วันหลังรับเชื้อ
      • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการผลชัดเจนในระยะเริ่มต้น หรือตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
      • มักใช้ในสถานพยาบาลขนาดใหญ่ หรือกรณีเฉพาะทาง

    การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรเป็นกิจวัตรสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และไม่ควรรอให้มีอาการ เพราะการตรวจเร็วจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART): หัวใจของการควบคุมเอชไอวี

    Antiretroviral Therapy (ART) หรือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือแนวทางการรักษาหลัก และได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน โดยใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อควบคุมการทำงานของไวรัส ไม่ให้เพิ่มจำนวนในร่างกาย

    แม้ว่า ART จะ ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้อย่างถาวร แต่สามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากจน ไม่สามารถตรวจพบได้ในเลือด (Undetectable) ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

    การกินยาอย่างสม่ำเสมอ ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยับยั้งการลุกลามของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย เมื่อไวรัสถูกควบคุมไว้ได้ การทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะลดลงอย่างมาก ป้องกันการลุกลามไปสู่ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    • ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ยาต้านไวรัสช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันกลับมาแข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infections)
    • ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทำให้ผู้ที่มีปริมาณไวรัสในร่างกายต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้คู่ของตนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยลดการแพร่ระบาดในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
    • เพิ่มคุณภาพชีวิต และอายุขัย เพราะผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป และมีสุขภาพแข็งแรง ประกอบอาชีพ และมีครอบครัวได้

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัส ART

    • ต้อง รับประทานยาอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา
    • ควรตรวจติดตามสุขภาพ และปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) อย่างสม่ำเสมอ
    • การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ไวรัสดื้อยา และกลับมาระบาดในร่างกายได้
    แนวคิด U=U _ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    แนวคิด U=U : ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    หนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ และนโยบายสาธารณสุขที่สำคัญ คือ แนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งยืนยันจากงานวิจัยระดับโลกว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัส ART และมีไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) จะไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้อื่น

    U=U เป็นสิ่งที่ช่วยลดการตีตรา และเป็นแรงผลักดันให้ผู้มีเชื้อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องคนรอบข้างอีกด้วย

    การรักษายุคใหม่ ยาครั้งเดียวต่อวัน สะดวก ปลอดภัย

    ในอดีตผู้มีเชื้อต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัสแบบสูตรเดียว (Single Tablet Regimen) เช่น:

    • TLD (Tenofovir/ Lamivudine/ Dolutegravir)
    • Biktarvy
    • Dovato

    นอกจากนี้ยังมีทางเลือกใหม่คือ ยาฉีดแบบ Long-Acting อย่าง Cabotegravir + Rilpivirine ซึ่งฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 2 เดือน เหมาะกับผู้ที่ลืมกินยาบ่อย ๆ

    การดูแลตนเองในระยะยาว

    การมีเชื้อเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าต้องจำกัดชีวิต แต่ควรมีการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น:

    • พบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือดดูระดับ CD4 และ viral load
    • ดูแลโภชนาการ ให้ร่างกายแข็งแรง
    • ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และ STI อื่น ๆ
    • สุขภาพจิต สำคัญไม่แพ้ร่างกาย ควรได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัว และชุมชน

    การใช้ชีวิตร่วมกับคนที่มีเชื้อเอชไอวี

    • ไม่สามารถติดเชื้อได้จากการจับมือ กินข้าวร่วมกัน หรือใช้ห้องน้ำร่วมกัน
    • หากมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยาง หรือ ยาเพร็พ (PrEP) เพื่อป้องกัน
    • ให้การสนับสนุน ไม่ตีตรา จะช่วยให้ผู้มีเชื้อใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและไม่ซ่อนตัวจากสังคม

    การติดเชื้อเอชไอวี กับการตั้งครรภ์ และการมีลูก

    ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่ส่งต่อเชื้อไปยังลูก หากมีการรับยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด รวมถึงให้ลูกได้รับยาป้องกันตามแพทย์แนะนำ

    อัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกสามารถลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ได้

    ความหวังใหม่: วัคซีน และการรักษาเพื่อหายขาด

    แม้ตอนนี้การติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีรักษาให้หายขาด 100% แต่ก็มีความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน เช่น

    • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี อยู่ในขั้นทดลองหลายสูตรทั่วโลก
    • การใช้เทคโนโลยี CRISPR เพื่อกำจัดไวรัสจากเซลล์
    • ยาต้านไวรัสแบบฉีดระยะยาวที่สะดวกขึ้น

    แนวโน้มเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความหวังในอนาคตว่า การติดเชื้อเอชไอวี จะไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขอีกต่อไป

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่จุดจบอีกต่อไป ด้วยการตรวจเร็ว รักษาเร็ว และดูแลต่อเนื่อง ผู้มีเชื้อสามารถมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า มีงาน มีครอบครัว มีความรัก และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างภาคภูมิใจ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การไม่ตีตรา ไม่กลัว และไม่ปิดกั้นโอกาสให้กับผู้ติดเชื้อ เพราะ การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำให้ใครหมดสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี

    ในยุคที่เรามีทั้งยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ และแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม การติดเชื้อเอชไอวี จึงกลายเป็นเพียงโรคเรื้อรังอีกโรคหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และหัวใจที่ไม่ตัดสินใครจากสถานะของเขา

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics – Living with HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/index.html
    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. Understanding Undetectable = Untransmittable (U=U). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก
      https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2021/july/20210721_u-equals-u
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ยาต้านไวรัสเอชไอวีและแนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). สิทธิการรักษาเอชไอวีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
  • เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อไม่มีการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ การค้นพบยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญ ซึ่งช่วยยืดอายุ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างมหาศาล

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี  (Antiretroviral Therapy : ART)  คือ ยาที่ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ยาเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) และช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

    กลไกการทำงานของยาต้านไวรัสเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีทำงานโดยการรบกวนขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขยายตัวของไวรัสในร่างกาย โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักดังนี้

    • Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ขัดขวางการคัดลอกสารพันธุกรรมของไวรัส
    • Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase
    • Protease Inhibitors (PIs) ป้องกันการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการประกอบไวรัสใหม่
    • Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งช่วยไวรัสแทรก DNA เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์
    • Entry/Fusion Inhibitors ป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ CD4

    ประโยชน์ของการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • ลดปริมาณไวรัสในเลือด ช่วยลดโอกาสเกิดโรคฉวยโอกาส
    • เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    • ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หาก Viral Load ต่ำจนตรวจไม่พบ การแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์จะลดลงถึงศูนย์
    • ปรับปรุงคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และปกติได้
    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • เริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุด
      • ทำไมต้องเริ่มเร็ว การเริ่มใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่แรกที่ทราบผลการติดเชื้อ ช่วยลดความเสียหายของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
      • เมื่อเริ่มต้น ปัจจุบันคำแนะนำคือให้เริ่มใช้ยาทันทีที่ทราบว่ามีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องรอให้ระดับ CD4 ต่ำลง
    • เลือกสูตรยาที่เหมาะสม แพทย์จะเลือกสูตรยาต้านไวรัสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย โดยพิจารณาจาก
      • ระดับ CD4
      • ปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load)
      • สุขภาพทั่วไป เช่น การทำงานของไตแ ละตับ
      • ประวัติการแพ้ยา
      • สถานะการตั้งครรภ์
        โดยสูตรยาต้านไวรัสที่นิยมใช้คือ ยาสูตรผสม (Fixed-Dose Combination) ซึ่งรวมตัวยาหลายชนิดในเม็ดเดียวเพื่อความสะดวก และลดโอกาสการลืมยา
    • รับประทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
      • เวลา ยาต้านไวรัสบางชนิดต้องรับประทานพร้อมอาหารหรือในขณะท้องว่าง อ่านฉลาก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
      • จำนวนครั้งต่อวัน ปกติสูตรยาสมัยใหม่มักให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง แต่บางสูตรอาจต้องรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน
      • ความสม่ำเสมอ ควรรับประทานยาตรงเวลาในทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา
    • ติดตามผลการรักษา
      • ตรวจ Viral Load หลังเริ่มใช้ยาประมาณ 1-3 เดือน แพทย์จะตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อตรวจสอบว่ายาได้ผลหรือไม่ หาก Viral Load ลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) แสดงว่ายามีประสิทธิภาพ
      • ตรวจ CD4 เพื่อติดตามระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • จัดการผลข้างเคียง ผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสมักแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น
      • ผลข้างเคียงระยะสั้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ
      • ผลข้างเคียงระยะยาว ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคไต โรคตับหากพบอาการรุนแรง หรือผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยา
    • การใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาอื่น ยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส เช่น ยาลดกรด ยากันชัก สมุนไพรบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
    • ป้องกันการดื้อยา
      • การดื้อยา คือ ภาวะที่เชื้อเอชไอวี ปรับตัวจนยาไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสได้ สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
      • หลีกเลี่ยงการลืมยา หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยเวลารับประทานมานานเกิน 12 ชั่วโมง ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานตามปกติในมื้อถัดไป
    • การหยุดใช้ยาต้านไวรัการหยุดใช้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เชื้อเอชไอวี ดื้อยา และส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาในอนาคต หากจำเป็นต้องหยุดยาชั่วคราว เช่น ระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสม

    การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

    • ใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • ใช้ยา PrEP สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อทราบสถานะสุขภาพของตนเอง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับการติดเชื้อเอชไอวี แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไวรัสและป้องกันการแพร่เชื้อได้ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคติดต่อ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save