Tag: โรคเอดส์

  • HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) หรือเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความกลัว อคติ และการตีตราในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และความเข้าใจทางสังคมที่ดีขึ้น การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้เป็นคำตัดสินประหารชีวิตอีกต่อไป ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หากได้รับการรักษา และดูแลอย่างเหมาะสม

    บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี การวินิจฉัย การรักษายุคใหม่ เช่น ยาต้านไวรัสสูตรปัจจุบัน แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) และวิถีชีวิตของผู้มีเชื้อเอชไอวี ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี และปกติในสังคม

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) คืออะไร?

    เอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี จะพัฒนากลายเป็น โรคเอดส์ (AIDS = Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และมะเร็งบางชนิด

    แต่ด้วยการตรวจพบเชื้อแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที ผู้มีเชื้อสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ได้ และสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

    การวินิจฉัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

    ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ โดยวิธีตรวจหลัก ๆ ได้แก่:

    • การตรวจแอนติบอดี (Antibody Test) เป็นวิธีการตรวจพื้นฐาน และพบมากที่สุด โดยตรวจหา “แอนติบอดี” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี
      • มักใช้ตัวอย่างเลือด หรือของเหลวจากช่องปาก
      • มักสามารถตรวจพบได้ภายใน 3-12 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
      • หากตรวจหลังระยะฟักตัว (window period) จะให้ผลแม่นยำสูง
    • การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) เป็นการตรวจแบบเร่งด่วน โดยรู้ผลภายใน 15-30 นาที
      • นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น
      • ใช้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน
      • มีทั้งแบบเจาะเลือดปลายนิ้ว และใช้ของเหลวในช่องปาก
      • หากผลเป็นบวก จำเป็นต้องยืนยันผลอีกครั้งด้วยวิธีมาตรฐาน
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) เป็นการตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยตรง
      • มีความไว และแม่นยำสูง
      • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 10-33 วันหลังรับเชื้อ
      • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการผลชัดเจนในระยะเริ่มต้น หรือตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
      • มักใช้ในสถานพยาบาลขนาดใหญ่ หรือกรณีเฉพาะทาง

    การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรเป็นกิจวัตรสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และไม่ควรรอให้มีอาการ เพราะการตรวจเร็วจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART): หัวใจของการควบคุมเอชไอวี

    Antiretroviral Therapy (ART) หรือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือแนวทางการรักษาหลัก และได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน โดยใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อควบคุมการทำงานของไวรัส ไม่ให้เพิ่มจำนวนในร่างกาย

    แม้ว่า ART จะ ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้อย่างถาวร แต่สามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากจน ไม่สามารถตรวจพบได้ในเลือด (Undetectable) ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

    การกินยาอย่างสม่ำเสมอ ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยับยั้งการลุกลามของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย เมื่อไวรัสถูกควบคุมไว้ได้ การทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะลดลงอย่างมาก ป้องกันการลุกลามไปสู่ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    • ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ยาต้านไวรัสช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันกลับมาแข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infections)
    • ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทำให้ผู้ที่มีปริมาณไวรัสในร่างกายต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้คู่ของตนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยลดการแพร่ระบาดในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
    • เพิ่มคุณภาพชีวิต และอายุขัย เพราะผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป และมีสุขภาพแข็งแรง ประกอบอาชีพ และมีครอบครัวได้

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัส ART

    • ต้อง รับประทานยาอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา
    • ควรตรวจติดตามสุขภาพ และปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) อย่างสม่ำเสมอ
    • การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ไวรัสดื้อยา และกลับมาระบาดในร่างกายได้
    แนวคิด U=U _ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    แนวคิด U=U : ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    หนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ และนโยบายสาธารณสุขที่สำคัญ คือ แนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งยืนยันจากงานวิจัยระดับโลกว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัส ART และมีไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) จะไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้อื่น

    U=U เป็นสิ่งที่ช่วยลดการตีตรา และเป็นแรงผลักดันให้ผู้มีเชื้อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องคนรอบข้างอีกด้วย

    การรักษายุคใหม่ ยาครั้งเดียวต่อวัน สะดวก ปลอดภัย

    ในอดีตผู้มีเชื้อต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัสแบบสูตรเดียว (Single Tablet Regimen) เช่น:

    • TLD (Tenofovir/ Lamivudine/ Dolutegravir)
    • Biktarvy
    • Dovato

    นอกจากนี้ยังมีทางเลือกใหม่คือ ยาฉีดแบบ Long-Acting อย่าง Cabotegravir + Rilpivirine ซึ่งฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 2 เดือน เหมาะกับผู้ที่ลืมกินยาบ่อย ๆ

    การดูแลตนเองในระยะยาว

    การมีเชื้อเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าต้องจำกัดชีวิต แต่ควรมีการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น:

    • พบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือดดูระดับ CD4 และ viral load
    • ดูแลโภชนาการ ให้ร่างกายแข็งแรง
    • ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และ STI อื่น ๆ
    • สุขภาพจิต สำคัญไม่แพ้ร่างกาย ควรได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัว และชุมชน

    การใช้ชีวิตร่วมกับคนที่มีเชื้อเอชไอวี

    • ไม่สามารถติดเชื้อได้จากการจับมือ กินข้าวร่วมกัน หรือใช้ห้องน้ำร่วมกัน
    • หากมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยาง หรือ ยาเพร็พ (PrEP) เพื่อป้องกัน
    • ให้การสนับสนุน ไม่ตีตรา จะช่วยให้ผู้มีเชื้อใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและไม่ซ่อนตัวจากสังคม

    การติดเชื้อเอชไอวี กับการตั้งครรภ์ และการมีลูก

    ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่ส่งต่อเชื้อไปยังลูก หากมีการรับยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด รวมถึงให้ลูกได้รับยาป้องกันตามแพทย์แนะนำ

    อัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกสามารถลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ได้

    ความหวังใหม่: วัคซีน และการรักษาเพื่อหายขาด

    แม้ตอนนี้การติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีรักษาให้หายขาด 100% แต่ก็มีความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน เช่น

    • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี อยู่ในขั้นทดลองหลายสูตรทั่วโลก
    • การใช้เทคโนโลยี CRISPR เพื่อกำจัดไวรัสจากเซลล์
    • ยาต้านไวรัสแบบฉีดระยะยาวที่สะดวกขึ้น

    แนวโน้มเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความหวังในอนาคตว่า การติดเชื้อเอชไอวี จะไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขอีกต่อไป

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่จุดจบอีกต่อไป ด้วยการตรวจเร็ว รักษาเร็ว และดูแลต่อเนื่อง ผู้มีเชื้อสามารถมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า มีงาน มีครอบครัว มีความรัก และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างภาคภูมิใจ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การไม่ตีตรา ไม่กลัว และไม่ปิดกั้นโอกาสให้กับผู้ติดเชื้อ เพราะ การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำให้ใครหมดสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี

    ในยุคที่เรามีทั้งยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ และแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม การติดเชื้อเอชไอวี จึงกลายเป็นเพียงโรคเรื้อรังอีกโรคหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และหัวใจที่ไม่ตัดสินใครจากสถานะของเขา

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics – Living with HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/index.html
    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. Understanding Undetectable = Untransmittable (U=U). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก
      https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2021/july/20210721_u-equals-u
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ยาต้านไวรัสเอชไอวีและแนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). สิทธิการรักษาเอชไอวีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save