เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อไม่มีการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ การค้นพบยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญ ซึ่งช่วยยืดอายุ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างมหาศาล

ยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?
ยาต้านไวรัสเอชไอวี (Antiretroviral Therapy : ART) คือ ยาที่ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ยาเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) และช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
กลไกการทำงานของยาต้านไวรัสเอชไอวี
ยาต้านไวรัสเอชไอวีทำงานโดยการรบกวนขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขยายตัวของไวรัสในร่างกาย โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักดังนี้
- Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ขัดขวางการคัดลอกสารพันธุกรรมของไวรัส
- Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase
- Protease Inhibitors (PIs) ป้องกันการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการประกอบไวรัสใหม่
- Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งช่วยไวรัสแทรก DNA เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์
- Entry/Fusion Inhibitors ป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ CD4
ประโยชน์ของการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี
- ลดปริมาณไวรัสในเลือด ช่วยลดโอกาสเกิดโรคฉวยโอกาส
- เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หาก Viral Load ต่ำจนตรวจไม่พบ การแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์จะลดลงถึงศูนย์
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และปกติได้

วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี
- เริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุด
- ทำไมต้องเริ่มเร็ว การเริ่มใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่แรกที่ทราบผลการติดเชื้อ ช่วยลดความเสียหายของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
- เมื่อเริ่มต้น ปัจจุบันคำแนะนำคือให้เริ่มใช้ยาทันทีที่ทราบว่ามีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องรอให้ระดับ CD4 ต่ำลง
- เลือกสูตรยาที่เหมาะสม แพทย์จะเลือกสูตรยาต้านไวรัสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย โดยพิจารณาจาก
- ระดับ CD4
- ปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load)
- สุขภาพทั่วไป เช่น การทำงานของไตแ ละตับ
- ประวัติการแพ้ยา
- สถานะการตั้งครรภ์
โดยสูตรยาต้านไวรัสที่นิยมใช้คือ ยาสูตรผสม (Fixed-Dose Combination) ซึ่งรวมตัวยาหลายชนิดในเม็ดเดียวเพื่อความสะดวก และลดโอกาสการลืมยา
- รับประทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- เวลา ยาต้านไวรัสบางชนิดต้องรับประทานพร้อมอาหารหรือในขณะท้องว่าง อ่านฉลาก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- จำนวนครั้งต่อวัน ปกติสูตรยาสมัยใหม่มักให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง แต่บางสูตรอาจต้องรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน
- ความสม่ำเสมอ ควรรับประทานยาตรงเวลาในทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา
- ติดตามผลการรักษา
- ตรวจ Viral Load หลังเริ่มใช้ยาประมาณ 1-3 เดือน แพทย์จะตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อตรวจสอบว่ายาได้ผลหรือไม่ หาก Viral Load ลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) แสดงว่ายามีประสิทธิภาพ
- ตรวจ CD4 เพื่อติดตามระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- จัดการผลข้างเคียง ผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสมักแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น
- ผลข้างเคียงระยะสั้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ
- ผลข้างเคียงระยะยาว ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคไต โรคตับหากพบอาการรุนแรง หรือผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยา
- การใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาอื่น ยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส เช่น ยาลดกรด ยากันชัก สมุนไพรบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
- ป้องกันการดื้อยา
- การดื้อยา คือ ภาวะที่เชื้อเอชไอวี ปรับตัวจนยาไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสได้ สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการลืมยา หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยเวลารับประทานมานานเกิน 12 ชั่วโมง ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานตามปกติในมื้อถัดไป
- การหยุดใช้ยาต้านไวรัการหยุดใช้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เชื้อเอชไอวี ดื้อยา และส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาในอนาคต หากจำเป็นต้องหยุดยาชั่วคราว เช่น ระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสม
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
- ใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- ใช้ยา PrEP สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อทราบสถานะสุขภาพของตนเอง
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- เอชไอวี คืออะไร? ทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย
- ตรวจเอชไอวี : ทำไมต้องตรวจ และตรวจได้ที่ไหนบ้าง?
ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับการติดเชื้อเอชไอวี แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไวรัสและป้องกันการแพร่เชื้อได้ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคติดต่อ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้