Category: ยาต้านไวรัสเอชไอวี

  • Viral Load ต่ำแค่ไหน ถึงจะไม่แพร่เชื้อได้?

    Viral Load ต่ำแค่ไหน ถึงจะไม่แพร่เชื้อได้?

    ในยุคที่ความรู้ด้านการรักษาเอชไอวี (HIV)พัฒนาอย่างก้าวกระโดดคำว่า Viral Load จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดทั้งสุขภาพของการบริโภค และการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น หลายคนอาจได้ยินแนวคิด U=U หรือตรวจวินิจฉัย = ไม่แพร่เชื้อเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถตรวจสอบ Viral Load ได้ที่ต่ำแค่ไหนถึงจะปลอดภัยจริง?

    การทำความเข้าใจว่าปริมาณของไวรัสต่ำในระดับปานกลางถึงเชื้อแพร่ได้เป็นเกณฑ์มาตรฐานตามเกณฑ์ทางการแพทย์พร้อมคำอธิบายจำนวนมากที่สามารถพบได้ที่ไวรัสจึงถือว่าสามารถถ่ายทอดเชื้อได้ถึงความสัมพันธ์ได้องค์ประกอบที่ความเข้มข้นของเชื้อเอชไอวีเตาอบปฏิบัติระดับ Viral Load ให้อยู่ในจุดวิจารณ์ทั้งต่อตนเอง และคนรอบข้าง

    Viral Load ต่ำแค่ไหน ถึงจะไม่แพร่เชื้อได้?

    Viral Load คืออะไร?

    ปริมาณของไวรัส คือ ค่าปริมาณไวรัสในเลือดที่วัดได้จากการค้นหาทางใดบ้างในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีค่านี้จะบอกได้ว่าร่างกายมีไวรัสไอวีมากหรือน้อยเพียงใด

    ค่าตรวจสอบการตรวจวัด Viral Load มีหน่วยเป็นสำเนา/มล ซึ่งหมายถึงจำนวนขิงของไวรัสต่อร่างกายของเลือดเริ่มต้นเมื่อยาต้านไวรัสค่า Viral Load จะมักจะส่งผลต่อเนื่องโดยตรงกับการแพร่กระจายของเชื้อ และโรคด้วยโรคเกาต์ของร่างกาย

    Viral Load ต่ำแค่ไหน ถึงจะไม่แพร่เชื้อได้?

    คำว่า Viral Load ต่ำในส่วนต่างๆ ของส่วนต่างๆ ของเอชไอวีบางครั้งอาจหมายถึง การมีไวรัสน้อยๆ เท่านั้น แต่หมายถึงระดับที่ต่ำจนสามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือมาตรฐานของบางครั้งซึ่งระดับนี้เรียกว่า ตรวจไม่พบ หรือตรวจตรวจพบ

    ตามหลักการขององค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ระดับ Viral Load ที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติแพร่เชื้อได้คือประมาณ 200 สำเนา/มล. และความเข้มข้นของประเทศต่างๆ องค์ประกอบที่ตรวจอาจสามารถตรวจพบไวรัสได้ตั้งแต่ระดับ 50 สำเนา/มล. หรือสูงกว่า 20 สำเนา/มล. ดังนั้นผลการตรวจสอบของ Viral Load ระดับปานกลาง และผู้ป่วยยังคงรับประทานยาต้านไวรัสART ถือว่าเข้าระดับสูงของแนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable)

    อย่างไรก็ดี การจะคงสถานะ Viral Load ต่ำได้นั้น ต้องอาศัยการดูแลต่อเนื่อง เช่น

    • กินยาต้านไวรัส ART ให้ตรงเวลา
    • อย่าหยุดยาเองโดยพลการ
    • ตรวจสอบ และติดตาม Viral Load อย่างสม่ำเสมอ
    • การให้ยาต้านไวรัสในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของ Viral Load ให้ผู้ป่วย ตรวจดูอาการ และสามารถใช้ชีวิตเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่แพร่ให้คู่นอน

    ดังนั้นคำตอบของคำถามเช่น Viral Load แค่ไหน? คือที่ตั้งต่ำจนเครื่องมือแพทย์สามารถตรวจพบได้ และต้องตรวจตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และยาวนานจะไม่มีการกล่าวถึงในการถ่ายทอดเอชไอวีความสัมพันธ์

    ยาไวรัสส่งผลต่อ Viral Load อย่างไร?

    สาเหตุของต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) อย่างต่อเนื่อง และถูกต้องจะช่วยกดระดับ Viral Load ให้ต่ำลงในกลุ่มเป้าหมายของการรักษาคือทำให้ระดับไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ(Undetectable)

    ภายในเวลา 1–6 เดือนหลังเริ่ม ART อย่างเคร่งครัดค่า Viral Load ภายในร่างกายที่เครื่องมือแพทย์สามารถควบคุมได้ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อสุขภาพของอวัยวะ และร่างกายคู่นอน

    ตรวจไม่พบ (Undetectable) วิธีการอะไร?

    คำตรวจไม่พบ หรือตรวจไม่พบในทางการแพทย์หมายถึงระดับ Viral Load ที่ต่ำกว่าที่กล่าวมาสามารถตรวจพบได้ต่ำกว่า 20 หรือ 50 สำเนา/มล. เครื่องมือที่ใช้

    สาเหตุของไวรัสหมดไปจากร่างกาย แต่หมายถึงไวรัสมีข้อสังเกตจนสามารถตรวจวัดได้มาตรฐาน และที่สำคัญคือสามารถแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้ผ่านความเชื่อถือ

    ข้อเท็จจริง VS ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Viral Load และ U=U

    ความเชื่อผิดความจริง
    มีเชื้ออยู่ก็ต้องแพร่ได้เสมอไม่จริง หากตรวจไม่เจอ (Undetectable) ก็ไม่สามารถแพร่เชื้อได้
    ต้องใช้ถุงยางทุกครั้งแม้ Viral Load ต่ำถ้าผลตรวจ Undetectable อย่างต่อเนื่อง ก็ปลอดภัยแม้ไม่ใช้ถุงยาง (แต่ถุงยางช่วยป้องกัน STI อื่นๆ ได้)
    ตรวจไม่เจอแปลว่าหายขาดยังไม่ใช่การหายขาด ไวรัสยังอยู่ในร่างกายในระดับต่ำมาก
    ไม่ต้องตรวจ Viral Load ถ้ารู้สึกสบายดีต้องตรวจตามกำหนดเพื่อยืนยันว่า Viral Load ยังต่ำต่อเนื่อง
    คำแนะนำสำหรับผู้มีเชื้อเอชไอวี เกี่ยวกับ Viral Load

    คำแนะนำสำหรับผู้มีเชื้อเอชไอวี เกี่ยวกับ Viral Load

    Viral Load เป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นหัวใจในการควบคุมโรค และการแพร่กระจายของเชื้อให้ผู้อื่นที่มีคุณสมบัติคุณภาพชีวิตที่ดี และการรักษารายละเอียดของแต่ละข้อได้แก่

    กินยาต้านไวรัส ART ตรงเวลาไม่หยุดยาโดยพลการ

    ART (Antiretroviral Therapy) คือยาต้านไวรัสที่ดูแลปริมาณไวรัสเอชไอวีให้ลดลงจนสามารถตรวจพบได้ในส่วนของไอเอชวี ตรวจพบทานยาเป็นระยะตรงเวลา และเวลาไม่หยุดยาโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนถึงระดับที่ตรวจพบไม่ได้หรือตรวจไม่พบ

    • หากหยุดยาหรือขาดยาแม้เพียงไม่กี่วัน อาจทำให้ไวรัสกลับมาเพิ่มจำนวน (Viral Rebound) และอาจดื้อยา
    • การรักษาต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคฉวยโอกาส
    • ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูภูมิคุ้มกันกลับมาใกล้เคียงปกติ

    คำแนะนำ: ตั้งเวลาเตือน ทานยาให้ตรงเวลา และหากมีผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับการรักษา แต่อย่าหยุดยาเอง

    ตรวจติดตาม Viral Load ทุก 3–6 เดือน

    การตรวจ Viral Load คือ การวัดปริมาณไวรัสในเลือด ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินประสิทธิภาพของการรักษาเอชไอวี

    • หากผลตรวจแสดงว่า Viral Load ตรวจไม่พบ (น้อยกว่า 200 copies/mL หรือแม้แต่ต่ำกว่า 50 copies/mL ขึ้นกับมาตรฐานแต่ละที่) แสดงว่าการรักษาได้ผลดี
    • ติดตามการปฏิบัติทุก 3–6 สัปดาห์ต่อเดือนที่แพทย์สามารถประเมิน และปรับการรักษาหากจำเป็น

    คำแนะนำ: อย่าละเลยการนัดตรวจติดตาม แม้จะรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงก็ตาม

    แจ้งข้อมูลกับคู่นอนอย่างตรงไปตรงมา พร้อมให้ความรู้เรื่อง U=U

    การพูดคุยอย่างเปิดใจกับคู่นอนเรื่องสถานะเอชไอวี เป็นสิ่งสำคัญต่อความสัมพันธ์ และการป้องกันการแพร่เชื้อ

    • หาก Viral Load ของคุณมีลักษณะที่ตรวจไม่พบต่อเนื่องในการวินิจฉัย U=U (Undetectable = Untransmittable) อุณหภูมิของร่างกายไวรัสในเลือดต่ำจนตรวจไม่พบ และสามารถถ่ายทอดสัญญาณของเชื้อได้
    • การสื่อสารด้วยข้อมูลที่เป็นลักษณะเฉพาะของความสับสน และความเครียดระหว่างคุณกับคู่นอน

    คำแนะนำ: สามารถใช้เอกสาร แหล่งข้อมูล หรือให้คู่นอนปรึกษาแพทย์หรือหน่วยงานสนับสนุนเพื่อความมั่นใจ

    หากเพิ่งเริ่มยาต้านไวรัส ART ควรงดเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน จนกว่าจะได้ผลตรวจ Viral Load ว่า ตรวจไม่เจอ ต่อเนื่อง

    เมื่อเริ่มทานยาต้านไวรัส ART ใหม่ๆ ร่างกายยังต้องใช้เวลาในการควบคุมไวรัส

    • โดยทั่วไปต้องใช้เวลา ประมาณ 3–6 เดือน หลังเริ่ม ART ถึงจะสามารถลด Viral Load จนถึงระดับ Undetectable
    • ระหว่างนี้ ควร งดการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
    • หากมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้ง และ/หรือให้คู่นอนรับยา PrEP เป็นการเสริมการป้องกัน

    คำแนะนำ: ขอผลตรวจ Viral Load จากแพทย์เพื่อประเมินว่าอยู่ในระดับที่ “ตรวจไม่เจอ” อย่างต่อเนื่องหรือยัง ก่อนจะตัดสินใจเรื่องเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ในปัจจุบันแนวคิด คือ Viral Load ต่ำตรวจวินิจฉัยไม่แพร่เชื้อเป็นข้อเท็จจริงที่คาดว่าจะได้จากวงการแพทย์ทั่วโลก ต่อเนื่อง และต่อเนื่องสามารถกดระดับไวรัสในเลือดของพื้นที่เอชไอวีให้โปรตีนที่ต่ำมากจนสามารถตรวจพบเครื่องมือทางวิถีนี้เรียกว่า Undetectable หรือตรวจดู และเมื่อถึงระดับที่ทราบถึงเชื้อถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีชื่อเสียงสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้

    ค้นพบว่าไม่พบไวรัสจะไม่ได้หมายถึงการหายขาดจากโรคที่มีความสำคัญต่อการแพทย์สำหรับสุขภาพของเชื้อที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติของคนทั่วไป ตามปกติ สังเกต และสังเกตตัวเองต่อคนรอบข้างการรู้เรื่อง Viral Load และที่สำคัญที่สุดในครัวเรือนของ U=U ที่สำคัญที่สำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกับเอไชอวีอย่างมีคุณภาพ และสมุนไพรกระจายสู่ผู้อื่นอีกต่อไป

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Treatment as Prevention (TasP). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/risk/art/index.html
    • World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int
    • Avert. What does undetectable mean? [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.avert.org/living-with-hiv/undetectable
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). U=U: ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th/page/hiv-aids
    • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). ชีวิตของผู้มีเชื้อ HIV ในวันที่ไวรัสต่ำจนตรวจไม่เจอ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaihealth.or.th
  • HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) หรือเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความกลัว อคติ และการตีตราในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และความเข้าใจทางสังคมที่ดีขึ้น การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้เป็นคำตัดสินประหารชีวิตอีกต่อไป ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไป หากได้รับการรักษา และดูแลอย่างเหมาะสม

    บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี การวินิจฉัย การรักษายุคใหม่ เช่น ยาต้านไวรัสสูตรปัจจุบัน แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) และวิถีชีวิตของผู้มีเชื้อเอชไอวี ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี และปกติในสังคม

    HIV ไม่ใช่จุดจบ แนวทางการรักษายุคใหม่เพื่อชีวิตที่ใช้ได้อย่างปกติ

    เอชไอวี (HIV) คืออะไร?

    เอชไอวี (HIV = Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี จะพัฒนากลายเป็น โรคเอดส์ (AIDS = Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และมะเร็งบางชนิด

    แต่ด้วยการตรวจพบเชื้อแต่เนิ่น ๆ และเริ่มรับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที ผู้มีเชื้อสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ได้ และสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

    การวินิจฉัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

    ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ โดยวิธีตรวจหลัก ๆ ได้แก่:

    • การตรวจแอนติบอดี (Antibody Test) เป็นวิธีการตรวจพื้นฐาน และพบมากที่สุด โดยตรวจหา “แอนติบอดี” ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี
      • มักใช้ตัวอย่างเลือด หรือของเหลวจากช่องปาก
      • มักสามารถตรวจพบได้ภายใน 3-12 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
      • หากตรวจหลังระยะฟักตัว (window period) จะให้ผลแม่นยำสูง
    • การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) เป็นการตรวจแบบเร่งด่วน โดยรู้ผลภายใน 15-30 นาที
      • นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้น
      • ใช้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน
      • มีทั้งแบบเจาะเลือดปลายนิ้ว และใช้ของเหลวในช่องปาก
      • หากผลเป็นบวก จำเป็นต้องยืนยันผลอีกครั้งด้วยวิธีมาตรฐาน
    • การตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) เป็นการตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยตรง
      • มีความไว และแม่นยำสูง
      • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วภายใน 10-33 วันหลังรับเชื้อ
      • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการผลชัดเจนในระยะเริ่มต้น หรือตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล
      • มักใช้ในสถานพยาบาลขนาดใหญ่ หรือกรณีเฉพาะทาง

    การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรเป็นกิจวัตรสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และไม่ควรรอให้มีอาการ เพราะการตรวจเร็วจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART): หัวใจของการควบคุมเอชไอวี

    Antiretroviral Therapy (ART) หรือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือแนวทางการรักษาหลัก และได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน โดยใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อควบคุมการทำงานของไวรัส ไม่ให้เพิ่มจำนวนในร่างกาย

    แม้ว่า ART จะ ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้อย่างถาวร แต่สามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากจน ไม่สามารถตรวจพบได้ในเลือด (Undetectable) ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

    การกินยาอย่างสม่ำเสมอ ช่วยอะไรบ้าง?

    • ยับยั้งการลุกลามของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย เมื่อไวรัสถูกควบคุมไว้ได้ การทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะลดลงอย่างมาก ป้องกันการลุกลามไปสู่ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    • ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ยาต้านไวรัสช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันกลับมาแข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infections)
    • ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทำให้ผู้ที่มีปริมาณไวรัสในร่างกายต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้คู่ของตนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยลดการแพร่ระบาดในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
    • เพิ่มคุณภาพชีวิต และอายุขัย เพราะผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป และมีสุขภาพแข็งแรง ประกอบอาชีพ และมีครอบครัวได้

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัส ART

    • ต้อง รับประทานยาอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา
    • ควรตรวจติดตามสุขภาพ และปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) อย่างสม่ำเสมอ
    • การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ไวรัสดื้อยา และกลับมาระบาดในร่างกายได้
    แนวคิด U=U _ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    แนวคิด U=U : ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

    หนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ และนโยบายสาธารณสุขที่สำคัญ คือ แนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งยืนยันจากงานวิจัยระดับโลกว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัส ART และมีไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) จะไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ให้ผู้อื่น

    U=U เป็นสิ่งที่ช่วยลดการตีตรา และเป็นแรงผลักดันให้ผู้มีเชื้อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องคนรอบข้างอีกด้วย

    การรักษายุคใหม่ ยาครั้งเดียวต่อวัน สะดวก ปลอดภัย

    ในอดีตผู้มีเชื้อต้องกินยาหลายเม็ดต่อวัน แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัสแบบสูตรเดียว (Single Tablet Regimen) เช่น:

    • TLD (Tenofovir/ Lamivudine/ Dolutegravir)
    • Biktarvy
    • Dovato

    นอกจากนี้ยังมีทางเลือกใหม่คือ ยาฉีดแบบ Long-Acting อย่าง Cabotegravir + Rilpivirine ซึ่งฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 2 เดือน เหมาะกับผู้ที่ลืมกินยาบ่อย ๆ

    การดูแลตนเองในระยะยาว

    การมีเชื้อเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าต้องจำกัดชีวิต แต่ควรมีการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น:

    • พบแพทย์ตามนัด ตรวจเลือดดูระดับ CD4 และ viral load
    • ดูแลโภชนาการ ให้ร่างกายแข็งแรง
    • ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และ STI อื่น ๆ
    • สุขภาพจิต สำคัญไม่แพ้ร่างกาย ควรได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัว และชุมชน

    การใช้ชีวิตร่วมกับคนที่มีเชื้อเอชไอวี

    • ไม่สามารถติดเชื้อได้จากการจับมือ กินข้าวร่วมกัน หรือใช้ห้องน้ำร่วมกัน
    • หากมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยาง หรือ ยาเพร็พ (PrEP) เพื่อป้องกัน
    • ให้การสนับสนุน ไม่ตีตรา จะช่วยให้ผู้มีเชื้อใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและไม่ซ่อนตัวจากสังคม

    การติดเชื้อเอชไอวี กับการตั้งครรภ์ และการมีลูก

    ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่ส่งต่อเชื้อไปยังลูก หากมีการรับยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด รวมถึงให้ลูกได้รับยาป้องกันตามแพทย์แนะนำ

    อัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกสามารถลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ได้

    ความหวังใหม่: วัคซีน และการรักษาเพื่อหายขาด

    แม้ตอนนี้การติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีรักษาให้หายขาด 100% แต่ก็มีความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน เช่น

    • วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี อยู่ในขั้นทดลองหลายสูตรทั่วโลก
    • การใช้เทคโนโลยี CRISPR เพื่อกำจัดไวรัสจากเซลล์
    • ยาต้านไวรัสแบบฉีดระยะยาวที่สะดวกขึ้น

    แนวโน้มเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความหวังในอนาคตว่า การติดเชื้อเอชไอวี จะไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขอีกต่อไป

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่จุดจบอีกต่อไป ด้วยการตรวจเร็ว รักษาเร็ว และดูแลต่อเนื่อง ผู้มีเชื้อสามารถมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า มีงาน มีครอบครัว มีความรัก และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างภาคภูมิใจ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การไม่ตีตรา ไม่กลัว และไม่ปิดกั้นโอกาสให้กับผู้ติดเชื้อ เพราะ การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำให้ใครหมดสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี

    ในยุคที่เรามีทั้งยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ และแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม การติดเชื้อเอชไอวี จึงกลายเป็นเพียงโรคเรื้อรังอีกโรคหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และหัวใจที่ไม่ตัดสินใครจากสถานะของเขา

    เอกสารอ้างอิง

    • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics – Living with HIV. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/index.html
    • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
    • UNAIDS. Understanding Undetectable = Untransmittable (U=U). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก
      https://www.unaids.org/en/resources/presscentre/featurestories/2021/july/20210721_u-equals-u
    • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ยาต้านไวรัสเอชไอวีและแนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
    • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). สิทธิการรักษาเอชไอวีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th
  • เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อไม่มีการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ การค้นพบยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญ ซึ่งช่วยยืดอายุ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างมหาศาล

    เคล็ดลับการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ดูแลตัวเองให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?

    ยาต้านไวรัสเอชไอวี  (Antiretroviral Therapy : ART)  คือ ยาที่ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ยาเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) ให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) และช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

    กลไกการทำงานของยาต้านไวรัสเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีทำงานโดยการรบกวนขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขยายตัวของไวรัสในร่างกาย โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักดังนี้

    • Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ขัดขวางการคัดลอกสารพันธุกรรมของไวรัส
    • Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase
    • Protease Inhibitors (PIs) ป้องกันการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการประกอบไวรัสใหม่
    • Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs) ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งช่วยไวรัสแทรก DNA เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์
    • Entry/Fusion Inhibitors ป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ CD4

    ประโยชน์ของการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • ลดปริมาณไวรัสในเลือด ช่วยลดโอกาสเกิดโรคฉวยโอกาส
    • เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    • ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หาก Viral Load ต่ำจนตรวจไม่พบ การแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์จะลดลงถึงศูนย์
    • ปรับปรุงคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และปกติได้
    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    • เริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุด
      • ทำไมต้องเริ่มเร็ว การเริ่มใช้ยาต้านไวรัสตั้งแต่แรกที่ทราบผลการติดเชื้อ ช่วยลดความเสียหายของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
      • เมื่อเริ่มต้น ปัจจุบันคำแนะนำคือให้เริ่มใช้ยาทันทีที่ทราบว่ามีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องรอให้ระดับ CD4 ต่ำลง
    • เลือกสูตรยาที่เหมาะสม แพทย์จะเลือกสูตรยาต้านไวรัสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย โดยพิจารณาจาก
      • ระดับ CD4
      • ปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load)
      • สุขภาพทั่วไป เช่น การทำงานของไตแ ละตับ
      • ประวัติการแพ้ยา
      • สถานะการตั้งครรภ์
        โดยสูตรยาต้านไวรัสที่นิยมใช้คือ ยาสูตรผสม (Fixed-Dose Combination) ซึ่งรวมตัวยาหลายชนิดในเม็ดเดียวเพื่อความสะดวก และลดโอกาสการลืมยา
    • รับประทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
      • เวลา ยาต้านไวรัสบางชนิดต้องรับประทานพร้อมอาหารหรือในขณะท้องว่าง อ่านฉลาก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
      • จำนวนครั้งต่อวัน ปกติสูตรยาสมัยใหม่มักให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง แต่บางสูตรอาจต้องรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน
      • ความสม่ำเสมอ ควรรับประทานยาตรงเวลาในทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา
    • ติดตามผลการรักษา
      • ตรวจ Viral Load หลังเริ่มใช้ยาประมาณ 1-3 เดือน แพทย์จะตรวจปริมาณไวรัสในเลือดเพื่อตรวจสอบว่ายาได้ผลหรือไม่ หาก Viral Load ลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) แสดงว่ายามีประสิทธิภาพ
      • ตรวจ CD4 เพื่อติดตามระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • จัดการผลข้างเคียง ผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสมักแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น
      • ผลข้างเคียงระยะสั้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ
      • ผลข้างเคียงระยะยาว ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคไต โรคตับหากพบอาการรุนแรง หรือผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยา
    • การใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาอื่น ยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส เช่น ยาลดกรด ยากันชัก สมุนไพรบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
    • ป้องกันการดื้อยา
      • การดื้อยา คือ ภาวะที่เชื้อเอชไอวี ปรับตัวจนยาไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสได้ สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
      • หลีกเลี่ยงการลืมยา หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยเวลารับประทานมานานเกิน 12 ชั่วโมง ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานตามปกติในมื้อถัดไป
    • การหยุดใช้ยาต้านไวรัการหยุดใช้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เชื้อเอชไอวี ดื้อยา และส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาในอนาคต หากจำเป็นต้องหยุดยาชั่วคราว เช่น ระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสม

    การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

    • ใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • ใช้ยา PrEP สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อทราบสถานะสุขภาพของตนเอง

    อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับการติดเชื้อเอชไอวี แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไวรัสและป้องกันการแพร่เชื้อได้ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคติดต่อ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save